พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เคยรู้บ้างมั้ยว่า……………
พ่อที่รักยิ่งของพวกเรา………. มีอารมณ์ขันที่สุนทรีย์ยิ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงของเรานั้น ทรงมีพระราชอารมย์ขันยิ่งนัก ดังตัวอย่างที่จะเล่าต่อไปนี้
พวกเดียวกัน
ใน การเสด็จออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดีและความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชา ศัพท์ แต่ถึงกระนั้นกำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบบังคมทูลให้ถูกต้องตามแบบแผน อุตสาห์ไปซ้อมเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ แต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็รายงานตัวออกไปว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า…”
“เราพวกเดียวกันนะ…” รับสั่งด้วยความเมตาอย่างพ่อพูดกับลูก
ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา
ผู้หญิงตกเป็นของใคร
บาง ครั้ง ในหลวงของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติขิงทั้งสองฝ่ายก็พอใจ
รับสั่งเล่าด้วยพระรารชอารมณ์ขันว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป… ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล
สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้…”
แจกปริญญาหลับใน
...ประมาณ สองปีมาแล้ว ตอนเช้าได้ทำฟัน คือว่าหมอฟันมาเจาะฟัน เจาะจนเกือบจะทะลุคางไป (เสียงฮา) … เพราะว่าทะลุฟันซี่นั้นถึงราก ถอนเอาประสาทออก แล้วหมอฟันทั้งหลายก็สนุกสนานไป (เสียงฮา) กินเวลาประมาณสองชั่วโมง เวลาบ่ายโมงครึ่งก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็รับประทานไม่ไหวปากมันชาไปหมดที่เขาฉีดไว้ ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็ต้องมาแจกปริญญาที่นี่…
นับ จำนวนผู้ที่มารับปริญญาแล้วก็ดูนาฬิกา จะได้รู้เวลา นับไปนับมา แจกไปแจกมา ก็มีคนหนึ่งทำให้ตกใจ เขาเดินเข้ามาหา มารับปริญญา แล้วก็ด้วยความพอใจของเขา เขาร้องออกมาว่า “ทรงพระเจริญ” (เสียงฮา) … แต่บังเอิญตอนนั้นการแจกปริญญาก็ส่วนแจกปริญญา ส่วนปวดฟันก็ส่วนปวดฟัน (เสียงฮา) ส่วนหลับในก็ส่วนหลับใน (เสียงฮา) มีเสียงเขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ” ต้องโสตประสาทตกใจตื่นทั้งตัว
แต่ ว่าหลังตกใจตื่นขึ้นมาอาการปวดฟันหายไปจริงๆ นี่พูดตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าที่จะแจกปริญญาต่อไป ทำด้วยความรู้ตัวด้วย แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเรามีกำลังใจ ที่เขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ”…
ยิ้มของฉัน
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เป็นที่สนใจต่อสื่อมวลชนของอเมริกาเป็นอย่างมาก จึงได้มีพระราชทานสัมภาษณ์ นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งได้ทูลถามว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก… ไม่ทรงยิ้มเลย?”
ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พลางรับส่งว่า “นั่นไง… ยิ้มของฉัน”
แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณ และพระราชอารมณ์ขันอันล้ำลึกของพระองค์ท่าน ทำให้เป็น ที่รักของประชาชนอเมริกันโดยทั่วไป ในวันที่เสด็จฯ รัฐสภาคองเกรส เพื่อทรงมีพระราชดำรัสต่อสภา จึงทรงได้รับการถวายการปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนานหลายครั้ง
เพื่อนเยอะ
การเสด็จประพาสอเมริกาครั้งนั้น ควรจะได้เล่าถึง “บ๊อบ โฮ้พ” ไว้ด้วย เพราะทรงคุ้นเคยกับดาราผู้นี้ตั้งแต่ครั้งบ๊อบ โฮ้พ มาแวะกรุงเทพฯ เพื่อจะไปเปิดการแสดงกล่อมขวัญทหารอเมริกันในเวียดนาม ระหว่างแวะพักที่กรุงเทพฯ บ๊อบ โฮ้พ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรฯ โดยโปรดเก้าพระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย
บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนไปด้วย”
“ได้เลย… ไม่ขัดข้อง” รับสั่งตอบ “พาเพื่อนของคุณมาได้เลย”
“ต้องขอขอบพระราชหฤทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคนของข้าพระพุทธเจ้าด้วย”
คืน นั้น บ๊อบ โฮ้พ ได้นำวงดนตรีของเขา เข้าไปเล่นถวายอยู่จนดึก จึงกราบกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ที่บ้านของเขา รับสั่งว่า “ยินดี… ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ”
บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลเสียงอ่อยๆ ว่า “ติดด้วยเกล้า ว่าตกลงพ่ะย่ะค่ะ”
FBI
อีกครั้งหนึ่ง ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร Look พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งว่า เมื่อครั้งประธานาธิบดีของท่านมาเยือนประเทศไทย มีพวก FBI และหน่วย รปภ. ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมด จนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถใกล้ชิดประชาชนได้ ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไปจะมีคุณยายพูดขึ้นว่า “หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ” คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน
ทรงพระนามว่าเกาะช้าง
ครั้ง หนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถาม ข้ราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า “เกาะนั้นชื่ออะไร” ข้าราชการทูลตอบว่า “เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้างพะย่ะคะ” ตรัสว่า “ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ” (ถ้างงก็กลับไปอ่านอีกรอบ)
ครูใหญ่
เมื่อครั้งหนึ่ง กรมศิลปากรไม่มีครูที่จะประกอบพิธีไหว้ครู เพราะเนื่องจากไม่มีการมอบหมายหน้าที่เอาไว้ ในที่สุดเพื่อแก้ปัญหานี้ ต้องไปทูลเชิญพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะว่าทรงเป็นเสมือนสมตุิเทพ ต้องให้ทรงเป้น ผู้มอบหมาย เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า “จะให้เป็นครูใหญ่ใช่ไหม”
หมอลำ
ครั้ง หนึ่งได้มีการถวายปริญญาดุษษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ทรงรับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว” ต่อมา เมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว” ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก รับสั่งอีกว่า “ในตอนนี้เราเป็นหมอลำ”
ส่งเสี่ยกลับวัง
เมื่อ สมัยก่อนเสด็จแปรพระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า “ไปไหมเสี่ย” ปรากฎว่า เสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร
ไม่มีบัตรผ่าน
นอก จากนี้ยังโปรดจะเสด็จพระดำเนินระยะไกลตามชายทะเลจากหน้า พระราชวังอีกด้วย และเสด็จกลับมาใน ตอนเย็นๆ เมื่อเสด็จกลับถึงปรากฏว่า ทหารนั้นไม่ให้พระองค์เข้า “ไม่ได้ครับ ไม่มีบัตรผ่านเข้าไม่ได้” ทหารทูล “ขอโทษที ฉันไม่มีบัตร แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ เธอมีธนบัตรไหม” ทรงตรัสตอบ ทหารว่า “มีครับ ทำไมหรือ” ก็ตรัสว่า “นั่นแหละบัตรของฉัน”
ข้าวกล้องของคนจน
เมื่อ ไม่กี่ปีมานี้ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพฯ ไปทอดพระเนตรกิจการตาม พระราชดำริ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวกล้องอยู่ด้วย พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “ข้าวกล้องนี้ดี เรากินข้าวกล้องทุกวัน” สมเด็จพระเทพฯ เห็นว่า น่าสนใจแต่นักข่าว ไม่สนใจเท่าไรจึงตรัสว่า “น่าสนใจนะ น่าจะเก็บไว้” ก็เลยมีการทูลขอให้ทรงตรัสอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระ เทพฯ ก็ทรงช่วยเหลือ และนำมาซึ่งคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ “ข้าวกล้องนี้ดี มีประโยชน์ คนอื่นเขาว่าเป็นข้าวของคนจน เรากินข้ากล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน”
ใช่แล้วพระเจ้าครับ
เคย ได้ฟังคนเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งในหลวงทรงเสด็จไปที่ ห่างไกลทุรกันดาล เพื่อที่จะทรงงาน ขณะที่จะกลับมีชายคนหนึ่งมาถวายผ้าไหม โดยทหารไม่ให้เข้าเฝ้าแต่ในหลวงให้เข้าเฝ้า ชายคนนั้นถวามผ้าไหมให้ในหลวง ในหลวงจึงตรัสถามว่า “ผ้าไหมนี้ทำเอาใช่ไหม” ด้วยความที่ชายคนนั้นไม่รู้คำราชาศัพท์ จึงกราบทูลพระองค์ว่า “ใช่แล้วพระเจ้าครับ”
ซุ้มสำหรับในหลวง …
ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว
วัน หนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่ บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ จึงไม่ยอมให้รถผ่าน …ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้… วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อน พระองค์จึงทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงออกข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว….
วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ
พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า “วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ..”
คล่องราชาศัพท์
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายต่างก็แปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่ว และใช้ราชาศัพท์ได้ดีอย่างน่าฉงนของราษฎรผู้นั้นเมื่อในหลวงมีพระราช ปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า..”
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า “มี ทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว” เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้แต่ในหลวง…
จะให้เป็นช่างจริง
มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า “เฮ้ยๆ จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง” ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัย คงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน แทบจะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย”
ไม่ใช่ มิกกี้เมาส์
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาต นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า “ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์”
ชื่อเดียวกัน
เรื่อ งการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ
ท่าน ผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้น จนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาเป็นอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ ”
เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า “เออ ดี เราชื่อเดียวกัน.. .” ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้กราบบังคมทูลรายงานตื่นเต้น จนกระทั่งจำชื่อตนเองไม่ได้
แอลกอฮอล์เข้มข้น
เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด อ.พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปในบ้าน ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับให้พระองค์ประทับ แล้วก็รินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่คงไม่ค่อยจะได้ล้าง จนมีคราบดำๆ จับอยู่ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วงพระองค์ท่าน เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยที่มีคราบ จึงกระซิบทูลว่า ควรจะทรงแค่ทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทาน ผู้ติดตามจะจัดการเอง แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง หลังจากนั้นจึงทรงรับสั่งว่า “ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด”
เหมือนในหลวงจัง
ครั้งหนึ่งในหลวงทรงเสด็จไปที่ตลาดสด และทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า “ทำไมหน้าเหมือนในหลวงจัง?” ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่า ก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม
ขอเดชะ พระหมดแล้ว
ครั้งหนึ่ง ขณะที่ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร พระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว แต่มีราษฎรผู้หนึ่งยังไม่ได้รับ จึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า “ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์” ในหลวงทรงตรัสว่า “ขอเดชะ พระหมดแล้ว”
รับปริญญาสองครั้ง
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2528 เป็นวันสุดท้ายของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในวันนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศในตอนบ่าย เป็นผลให้บัณฑิต 6 คน ที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในช่วงนั้นหมดโอกาสที่จะถ่ายภาพตอนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ไว้เป็นที่ระลึก
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเสร็จพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับอาจารย์ที่หมอบถวาย ปริญญาอยู่ข้างๆที่ประทับว่า.. ให้ไปตามบัณฑิต 5 - 6 คนนั้นขึ้นมารับปริญญาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ยังความตื้นตันให้กับนิสิตและคณาจารย์กันทั่วทั้งหอประชุม…
คนในแบงค์
อีก เรื่องหนึ่งที่ได้ยินมา..เมื่อคราวที่ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ประทับที่ รพ.ศิริราช ช่วงเช้าตรู่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พยาบาลที่ถวายงานพยาบาลอยู่จึงไปรับสาย ก็มีเสียงปลายทางพูดมาว่า “ขอสายฟ้าหญิง” พยาบาลที่รับสายจึงถามกลับไปว่า ..ขอประทานโทษค่ะใครจะเรียนสายด้วยค่ะ.. “บอกเขาว่าคนในแบงค์โทร.มา” อีกฝ่ายตอบกลับมา คุณพยาบาลถามกลับไปว่า..ธนาคารไหนค่ะ และคิดในใจว่ายังเช้าอยู่อย่างนี้โทร.มาเรื่องอะไร .. แต่พอกลับมานั่งทบทวนว่า…คนในแบงค์โทร.มา… ถึงกับตื่นเต้นตกใจขนลุกขนพองเพราะคนในแบงค์ ก็คือ..ในหลวง..นั่นเอง…
ต้องเรียกน้าซิ
วันหนึ่ง พระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระ บาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราคนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้ว ก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่