เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ได้มีตัวแทนผู้ปกครองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.พัทลุง ประมาณ 50 คน เดินทางเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ฉลอง ขุนภักดี พนักงานสอบสวน สภ.ลำปำ จ.พัทลุง เพื่อให้ดำเนินคดีกับวิทยากรศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพัทลุง หลังจากบังคับให้เด็กนักเรียนหญิงทำกิจกรรมด้วยการถอดยกทรง และกางเกงชั้นในเพื่อแลกกับคะแนนการทำกิจกรรม นอกจากนี้วิทยากรยังถ่ายรูปการทำกิจกรรมพิเรนทร์ในครั้งนี้แล้วไปโพสต์ภาพลงในเฟซบุ๊กอีกด้วย
สืบเนื่องจากในช่วงวันที่ 14-15 ส.ค. ที่ผ่านมา โรงเรียนแห่งนี้ได้มีการจัดกิจกรรมโครงการ “คนรุ่นใหม่หัวใจพอเพียง” ขึ้น โดยมอบหมายให้วิทยากรศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพัทลุงเป็นผู้ฝึกอบรมให้ มีนักเรียนชั้น ม.1-ม.6 เข้าร่วมโครงการ
น.ส.แอน (นามสมมุติ) นักเรียนชั้น ม.5 เปิดเผยว่า การร่วมกิจกรรมในวันแรกพวกตนสนุกกันมาก เพราะมีกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงหลายอย่าง อาทิ การปลูกพืชพักสวนครัว การเยี่ยมชมการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ การเยี่ยมชมแปลงสาธิต ฯลฯ แต่เมื่อเข้าสู่วันที่สองของการอบรม (วันที่ 15 ส.ค.) ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยในช่วงเวลา 13.00 น. วิทยากรได้จัดกิจกรรมให้พวกตนเล่นเกมพิเรนทร์ มีการตั้งคะแนนไว้ 1 ล้านคะแนน ให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่ม และหากกลุ่มใดทำแต้มไม่ถึง 1 ล้านคะแนน ก็จะไม่ผ่านการฝึกอบรม ซึ่งวิทยากรได้ตั้งคะแนนไว้ว่าหากนักเรียนหญิงในกลุ่มถอดกางเกงชั้นในจะได้ 5 แสนคะแนน ถอดยกทรงได้ 5 แสนคะแนน ถอดเสื้อได้ 1 หมื่นคะแนน และถอดกางเกงจะได้อีก 1 หมื่นคะแนน
น.ส.แอน กล่าวต่อว่า โดยเกมนี้เล่นกันบริเวณใต้ต้นไม้ในศูนย์ดังกล่าว โดยวิทยากรได้แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มสีต่างๆ กลุ่มละประมาณ 18-20 คน จากนั้นจะนำพลาสติกสีดำเป็นม้วนมาตัดเหมือนผ้าถุงให้นักเรียนหญิงหุ้มร่างตามขนาดตัวเอง หากปกปิดจุดสำคัญของร่างกายไม่มิด นักเรียนหญิงบางคนต้องนำผ้าปูโต๊ะมาปิดบังแทน จากนั้นก็จะให้นักเรียนหญิงถอดเสื้อผ้า กางเกงใน และเสื้อยกทรงมากองรวมกัน จากนั้นจะมีการนับจำนวนชิ้นเสื้อผ้าที่ถอดออกเพื่อให้คะแนน ซึ่งระหว่างนั้นวิทยากรได้นำโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูปมาบันทึกภาพไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นกลุ่มครูของโรงเรียนได้พยายามทักท้วงว่าไม่เหมาะสมแต่วิทยากรรายนี้ก็ไม่ฟังแต่อย่างใด
ต่อมา มีนักเรียนหญิงรายหนึ่งเปิดไปพบภาพตนเองขณะเล่นเกมนี้ทางเฟซบุ๊ก ทำให้เกิดความอับอาย จนกระทั่งผู้ปกครองทราบเรื่องจึงเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับวิทยากรรายนี้ด้วย เนื่องจากทำให้เกิดเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก เบื้องต้นตำรวจได้รับแจ้งความไว้และรับปากว่าจะดำเนินการอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อกับวิทยากรรายนี้แล้วหลายครั้งแต่พบว่าปิดโทรศัพท์มือถือไม่สามารถติดต่อได้.