เครื่องบินรบ

นับเป็นเวลากว่าทศวรรษที่กองทัพสหรัฐพยายามลดความอ่อนแอของฝูงบิน โดยการพยายามไม่ให้ศัตรูได้มองเห็นทิศทางการบินได้ วิธีที่ใช้กันคือ การพ่นสีเคลือบเครื่องบินเพื่อพรางตา
แต่นับจากสงครามโลกครั้งที่2เป็นต้นมา เรดาร์ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวในการบิน โดยสามารถจับตำแหน่งการบินได้ในรัศมีไกลถึง100ไมล์ และสามารถตั้งวิถียิงโจมตีกลับได้โดยทันที

เทคโนโลยี steal พยายามที่จะอำพรางเครื่องบินจากเรดาร์ เช่นเดียวกับการพรางตาด้วยสีอย่างที่เคยใช้กัน


การทำงานของเรดาร์จับความเคลื่อนไหว โดยส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตรวจจับ เมื่อกระทบวัตถุใดๆมันจะส่งสัญญาณกลับมา การสะท้อนกลับนั่นเองคือสิ่งที่บอกว่าอะไรคือสิ่งที่เรดาร์มองเห็นและอะไรที่เรดาร์มองไม่เห็น

เล่ห์กลแห่งสงครามเกิดขึ้นเพื่อเอาชนะการจับสัญญาณของเรดาร์

เริ่มต้นโดยช่วงสงครามโลกครั้งที่2 โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดจะโปรยแผนอลูมิเนียมฟอย แผ่นเล็กๆ หรือที่เรียกกันว่า กองฝาง เพื่อให้กระแสลมพัดพาไป ทำให้เกิดเป็นก้อนเมฆก้อนใหญ่ปรากฏบนจอเรดาร์ ทำให้การโจมตีกลับทำไม่ได้


ในช่วงทศวรรษ1950 มีการค้นคว้าเรดาร์ให้จับสัญญาณผ่านเข้ามาในกองฝางนั้นได้ จึงมีการคิดค้นวิธีใหม่ออกมาซึ่งเรียกว่าการตีรวนสัญณาณ เครื่องบินต้องบรรทุกเครื่องส่งสัญญาณไปด้วยเพื่อที่จะหลบการตรวจจับของเรดาร์ ด้วยการส่งเคลื่อนรบกวนดังกล่าวออกไปปะทะ ทำให้การตรวจจับของเคลื่อนเรดาร์นั้นตกไป



เทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆต่อไป

ในทศวรรษ1970 การตีรวนสัญญาณก็สามารถดักจับด้วยเคลื่อนเรดาร์ได้ และก่อนหน้านั้นหนึ่งทศวรรษ จรวดมิสไซล์ที่ใช้เป็นตัวล่อบ่งชัดว่า เรดาร์สามารถตรวจจับได้ทั้งรูปทรงและสัณฐาน แน่นอนว่าสัณฐานขนาดมุม 90 องศา จะกระทบคลื่นเรดาร์อย่างแรง มีการออกแบบเครื่องบินรบ b-52 ในลักษณะเดียวกัน โดยจะมีการปล่อยจรวดนกต่อออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อให้ศัตรูเกิดความสับสนของจำนวนเครื่องบินและตำแหน่งบินที่แน่นอน


ยิ่งจรวดปรากฏอยู่บนจอเรดาร์มากเท่าไร ตัวเครื่องบินก็จะเป็นเพียงจุดเล็กๆเท่านั้น
แต่มันจะหายไปจากจอเรดาร์ได้หรือไม่นั้นยังเป็นคำถามอยู่
แต่แนวความคิดนี้ได้นำไปสู่การคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา ที่เรียกกันว่า steath หรือ วิถีหลบซ่อน




ในปัจจุบันนั้นหนึ่งในเครื่องบินรุ่นแรกที่ลองใช้เทคโนโลยีดังกล่าวคือเครื่อง ไรอัน 5 บี


ซึ่งเป็นเครื่องที่ไม่มีนักบินบังคับ เครื่องบินนี้ใช้ลาดตระเวนโดยเฉพาะ พื้นผิวลำตัวเครื่องซึ่งสะท้อนเรดาร์ได้ชัดเจนที่ซ่อนไว้ภายในลำตัวของเครื่อง ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเครื่องบินสอดแนมเหล่านี้ให้ทำด้วยวัสดุที่เรียกกันว่า แกรม (ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกไหม แต่ออกเสียงประมาณนี้ครับ) ซึ่งเรดาร์ไม่สามารถตรวจจับได้ แกรม ดูดซับเรดาร์ราวกับฟองน้ำ ป้องกันการสะท้อนคลื่นกับสู่จอ มีการทดสอบแล้วได้ผลว่า มีเพียงเสียงเครื่องบินเท่านั้นที่อาจสะท้อนบนจอเรดาร์ แต่ก็เป็นสัญญาณแผ่วๆที่ไม่นานมันก็จะหายไป..

ช่วงทศวรรษ 1960 ได้นำเครื่องบินสอดแนมรูปแบบหนึ่งมาใช้นั่งคือเครื่อง SR-71 Blackbird เป็น

เครื่องบินรบลำแรกที่ใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีวิถีหลบซ่อน และเรดาร์ไม่สามารถตรวจจับได้

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผลของเทคโนโลยีดังกล่าก็คือ เครื่องบินทิ้งระเบิด B-1A

ซึ่งมีตัวตัดคลื่นเรดาร์ทุกๆตารางเมตร และมันได้ถูกออกแบบขึ้นใหม่ พร้อมกับเพิ่มเติมวิถีหลบซ่อนเช่นเดียวกับเครื่อง B-1B

ที่มีตัวตัดคลื่นเรดาร์ทุกๆ1ใน10ของตารางเมตร ข้อพิสูจน์ระหว่าง B-1A และ B-1B ให้เราคิดกันไปได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะก่อให้เกิดการประยุกต์วิทยาการใหม่ๆในสงครามที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลนี้

คำถามก็คือ เทคโนโลยีวิธีหลบซ่อน steal สามารถพรางกันปรากฏตัวของเครื่องบินได้ และมันยังจะสามารถทำให้เครื่องบินหายไปจากจอดเรดารืได้ด้วยหรือไม่? ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่


Black Jet

ปี 1978 กองทัพอากาศสหรัฐติดต่อกับ สกั๊นเวอร์ก ที่ ล็อคฮีล แอร์คราฟ เพื่อออกแบบเครื่องบินรบวีถีหลบซ่อนหรือ steal โดยใช้รหัสว่า ซีเนียเทรน มันไม่เหมือนกับ SR-71 หรือ B-1B ซีเนียเทรนจะถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีใหม่เพื่อพรางตา มีการทดสอบเส้นแสดงรูปร่างของเครื่องอย่างระมัดระวัง เครื่องตัดสัญญาณเรดาร์ที่อยู่ตรงลำตัวเครื่องจะลดระดับสัญญาณอย่างทันถ่วงที การทดสอบได้ผลในทุกอิริยาบถของซีเนียเทรน ซึ่งต่อมาภายหลังได้ใช้ชื่อว่า F-117A
การบินครั้งแรกของ F-117A เริ่มขึ้นในเดือน มิถุนายน ปี 1986 เรื่องนี้เป็นความลับ และนักบินที่ถูกคัดมาสำหรับโครงการนี้จะต้องไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เป็นเพียงการแจ้งว่าจะเป็นการบินทดสอบเครื่องบินจู่โจม A-7 แทน

เมื่อฝูงบิน F-117A ปรากฏนั้น พื้นผิวลำตัวเครื่องอาจจะดุเป็นของแปลก ซึ่งเป็นผลมาจากการคิดค้นออกแบบใหม่นั่นเอง และส่วนต่างๆ ภายในเครื่องบินก็ได้โครงการพัฒนาอากาศยานอื่นๆที่รับรองผลสำเร็จมาแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีที่นำมาใช้สามารถเปิดเผยได้เช่น

เรื่องระบบควบคุมการบินจะเป็นของ F-16

ที่นั่งนักบินดีดตัวเองได้ในทันที2ที่นั่งซึ่งเหมือนกับที่มีในF-15 F-16 และ A-10
ระบบควบคุมบรรยากาศแวดล้อมมีส่วนของเครื่อง C-130
พลังงานเครื่องยนต์ที่ใช้ก็คือ GE404 แบบที่ใช้กับ F-18A
ระบบเบรกแบบดั่งเดิมของ กลั้งสตรีมสาม
และมีกล่องดำติดไว้ในเครื่องเพื่อบอกคุณให้รู้ถึงการทำงานของระบบต่างๆเมื่อถูกใช้งาน ดังนั้นเราจะสามารถรู้ได้ทั้งความสามารถในการทำงานความน่าเชื่อถือในระบบอุปกรณ์เหล่านี้ได้อย่างดี

ปี 1983
เครื่องบินรบระบบ steal ถูกนำมาใช้ในครั้งแรก เหล่านักบินขนาดนามมันว่า Black Jet ชื่อเล่นนี้มาจากชื่อตัวเครื่องซึ่งใช้สีดำ มีโค้ดแนมว่า ไอออนบอล หรือ บอลเหล็ก เป็นสีที่ป้องกันการตรวจจับของเรดาร์ ทุกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ของ F-117 ได้รับการออกแบบอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดการสะท้อนกลับสู่เรดาร์น้อยที่สุด

ส่วนใบพัดของเครื่องเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ไม่ส่งผลดีนัก ดังนั้นเครื่องยนต์ของเครื่องบินชนิดนี้จึงถูกฝั่งให้อยู่ลึกลงไปในลำตัวของเครื่องบิน อากาศที่ถูกดูดเข้าไปจะถูกปิดด้วยตะแกรงหน้าหม้อที่สร้างให้สะท้อนเรดาร์ในอัตราต่ำสุด

อุปกรณ์อีกตัวหนึ่งที่สะท้อนเรดาร์ได้ดีคือช่องที่นั่งนักบิน ปกติในเครื่องบินทั่วไปเรดาร์สามารถเจาะทะลุผ่านฝาครอบเพื่อตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างในช่องนักบินได้ แต่ใน F-117 นี้ฝาครอบจะเคลือบด้วยวัสดุพิเศษที่ป้องกันเรดาร์เข้าตรวจจับภายใน

ปีกเครื่องบินในส่วนที่ติดจรวดก็จะสะท้อนเรดาร์ได้ดีเช่นกัน ดังนั้นในเครื่องsteal จรวดจะถูกบรรจุอยู่ภายในเครื่องบินในพื้นที่พิเศษ

แม้ว่าเครื่องบินทั่วไปจะถูกเรดาร์ตรวจจับเส้นทางการบินได้ แต่เครื่องstealนั้น ส่วนลำตัวเครื่องจะกันไว้ด้วยวัสดุดูดคลื่นเรดาร์ ทำให้เรดาร์ไม่สามารถจับเส้นทางการบินที่แน่นอนได้

เครื่องBlack Jet ต่างจากเครื่องบินรบแบบอื่นที่ใช้เรดาร์เป็นตัวหาเป้าหมาย

แต่ Black Jet กลับใช้เซ็นเซอร์แทน เรดาร์จะส่งกลับสัญญาณไฟฟ้าสู่จอเมื่อตรวจจับสิ่งใดได้ แต่

เซ็นเซอร์จะจับภาพอุณหภูมิที่ต่างกันของสิ่งของบนพื้นและส่งภาพกลับมาให้นักบินทราบผ่านจอ เป็นรูปภาพที่มองเห็นได้แม้อยู่ในความมืดหรือในที่ที่มีแสงน้อยก็ตาม การโจมตีภาคพื้นดินนั้นถือว่าเป็นอัตรายอย่างมากสำหรับการต่อสู้ ในสมัยที่เรดาร์ยังเฟื้องฟูการโจมตีดังกล่าวมักจะทำอยู่เป็นประจำ หน้าที่ของ F-117 คือการออกแบบสำหรับภารกิจนี้เพราะมันมีความชำนาญในการโจมตีในความมืด ลอบทำร้ายศัตรูทางอากาศ และยิ่งโจมตีทันทีด้วยจรวดมิสไซล


การโจมตีครั้งแรกของ F-117 เริ่มต้นในปี 1989 ระหว่างสงรามในปานามา การรวมเอาลักษณะเด่นของเครื่อง steal และการโจมตีแบบสายฟ้าแลบทำให้ Black Jet เป็นเครื่องบินรบแบบเดียวที่สามารถจู่โจมศัตรูได้ในความมืด และมันทำได้โดยแม่นยำซะด้วย

การขับเครื่อง Black Jet
F-117 Black Jet ถูกขับเคลื่อนโดยนักบินชั้นหัวกะทิที่ผ่านการฝึกบินยุทธวิธีการจู่โจมแบบบินเร็ว เป็นนักบินที่ไได้รับการคัดเลือกโดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่ไม่ใช่เพียงแต่เพราะว่าเป็นโครงการลับสุดยอดแต่รวมถึงความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการบินจู่โจมตอนกลางคืน

"นักบินเครื่อง Black Jet จึงถูกคัดเลือกมาอย่างดีเยี่ยม นักบินต้องมีชั่วโมงบินขั้นต่ำ1000ชั่วโมง เราไม่มีนักบินอวุโสระดับกัปตันหรือที่สูงกว่านั้น คนเหล่านี้จะได้รับการแนะนำมาจากผู้บัญชาการการฝึกบินเร็ว ผู้บัญชาการสูงสุด หรือผู้ควบคุมการปฏิบัติการ จากนั้นพวกเขาต้องผ่านการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีคุณสมบัติพร้อมเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานของเรา นักบินเหล่านี้จะต้องมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน พวกเขาต้องตระหนักว่า Black Jet เป็นเครื่องบินที่นั่งเดียว บินจู่โจมในเวลากลางคืน โดยอาศัยพื้นฐานการบินอิสระของตัวนักบินเอง สิ่งที่เราต้องการก็คือ ความชำนาญที่จะให้แน่ใจว่าเรามีนักบินที่เยี่ยมที่สุด ก็อย่างที่บอกล่ะครับว่า ขับเครื่องบินนั้นมันเรื่อง่าย แต่ถ้าจะขับเพื่อบรรลุเป้าหมายและการปฏิบัติงานร่วมกันแล้วล่ะก็ เราก็ต้องการมือดีที่มีประสบการณ์"


"ใครก็ตามที่จะขับเครื่องบินลำนี้ได้ จะต้องได้รับการทดสอบพิเศษซะก่อนนะครับ เหตุเพราะว่าภารกิจและสมรรถนะของเครื่องบินนั่นเอง เราถึงต้องมีผู้มีประสบการณ์ พูดอีกอย่างก็คือว่าเราไม่ต้องการนักบินจากโรงเรียนฝึกการบิน ไม่จำเป็นต้องมียศหรือว่าตำแหน่งอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์การบินขั้นต่ำ1000ชั่วโมงถึงจะเข้าตากรรมการครับและต้องเป็นนักบินที่มีพื้นฐานแน่นและมีความเชี่ยวชาญการบินขั้นสูงด้วย ถึงจะ ok เลยครับ"


แม้ F-117 ออกปรากฏโฉมแล้วในปี 1988 แต่ Black Jet ก็ยังคงเป็นเรื่องลับสุดยอดอยู่ดี เครื่องบินจะถูกนำขึ้นน่านฟ้าเฉพาะเวลากลางคืนเพื่อป้องกันการตรวจจับสัญญาณของสายลับข้าศึกซึ่งแน่นอนว่านักบินจะต้องมีความชำนาญมากจริงๆ


"เมื่อนักบินเริ่มปฏิบัติงานในคืนวันจันทร์คืนแรกของสัปดาห์ เราไม่รับรองว่านักบินพวกนี้จะมีเวลาพักผ่อนมากแค่ไหน เราแต่เพียงบินขาไปในคืนวันจันทร์จนถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง และในคืนวันอังคารเราก็จะบินนานขึ้นอีก ไม่ต้องพุดถึงเวลาพักเพราะเวลาทั้งหมดถูกใช้ไปในการฝึกซ้อมในม่านเมฆ หอพักจะถูกปิดไว้จนกว่าจะถึงบ่ายโมงของอีกวันนั่นแหละถึงจะเป็นเวลาพักผ่อนจริงๆ นักบินทุกคนทีโอกาสเต็มที่สองเรื่องคือ 12 ชั่วโมงสำหรับการฝึกบินและ 8ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อนแต่ว่าพวกเขาจะไม่มีทั้งสองอย่างหากว่าเขามัวแต่อยู่ที่บ้านเพราะว่ารถโรงเรียนก็จะวิ่งไปรับ เสียงโทรศัพท์ก็จะดังอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้พวกเขามาเข้าร่วมในการประชุมและอื่นๆอีกหลายอย่าง
ที่พวกเขาจะต้องรับรู้ดังนั้นเราก็ต้องดูแลตัวเองก่อนเพื่อจะไม่ให้เกิดอะไรที่ผิดพลาดขึ้นมา เพราะความผิดพลาดนั้นอาจจะหมายถึงชีวิตเลยก็ได้
ด้วยรูปประพันสันฐานของ F-117 ที่ไม่เหมือนใครทำให้การขับขี่ยากกว่าเครื่องบินรบทั่วๆไป จริงๆแล้วมีข่าวลัมลือในวงกว้างว่า มีสัมยานามเครื่อง F-117 ว่าเจ้าปีศาจแกว่งไกว อันเป็นไปตามการตั้งตามลักษณะการบินของมันหรือไม่ก็เพราะรูปลักษณ์ที่แปลกและท่าทางการบินที่บินได้มากกว่าเครื่องบินรบอื่นๆ"

Stealth Bomber


เครื่อง b-1b ถูกออกแบบให้ไม่ถูกเรดาร์ตรวจจับได้ แล้วเทคโนโลยีนี้ยังจะสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกหรือไม่

ช่วงปลายทศวัตร 1970 กองทัพอากาศสหรัฐก็สามารถทำให้ประจักรว่าสามารถทำได้ ผลก็คือเครื่องบินรูปร่างประหลาดลำนี้

เทคโนโลยีประยุกต์เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 แม้ว่าข้อมูลที่ถูกต้องยังคงถูกคัดสรรคอยู่แต่ก็เชื่อได้ว่าB-2 ก็มีเครื่องส่งสัญญาณตัดคลื่นเรดาร์ แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าเครื่อง B-1B ก็ตาม แต่ถึงแม้จะมีขนาดเท่ากับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 แต่ B-2 แถบจะไม่เคยถูกเรดาร์ตรวจจับได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างเครื่องให้อำพรางตัวจากเรดาร์ได้ 100 % แต่อย่างน้อยตัวตัดคลื่นเรดาร์ก็สามารถลดสัญญาณการสะท้อนกลับสู่จอซึ่งทำให้ไม่สามารถจับได้ว่าเป็นวัตถุชนิดใด อาจกล่าวได้ว่าเครื่อง B-2 มีตัวตัดสัญญาณเรดาร์อยู่ด้านหน้าคล้ายๆกับแมลงบินขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง
การสร้างความสามารถในการพรางตัวให้กับเครื่อง B-2 ขึ้นอยู่กับภารกิจในการพลางยุทธวิธีจู่โจม

กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามหลักๆก็คือการใช้เรดาร์นำวิถีจรวดทำลาย โดยจะติดตั้งจรวดไว้ด้านหลังแผนกั้นเรดาร์ซึ่งจะโชว์บนแผนที่น่าจอว่าระยะห่างเท่าใดที่เรดาร์สามารถจับสัญญาณได้ เมื่อต้องการค้นหาเครื่องบินรบเช่นเครื่องบิน B-52

การยิงอาวุธไม่สามารถทำงานโดยปราศจากการจับสัญญาณเป้าหมายจากเรดาร์ก่อน อย่างน้อยก็เป็นเรดาร์หนึ่งตัว ซึ่งลักษณะนี้ถูกนำมาติดตั้งเพิ่มในเครื่อง B-1B มันสามารถจะผ่านไปได้โดยไม่ถูกโจมตี

โครงข่ายเรดาร์จะตรวจจับการบินของเครื่องบินB-2 ได้ลดลงเพราะช่องโว่สัญญาณที่ขยายมากขึ้นถ้าเรดาร์มองไม่เห็นการโจมตีก็ไม่สามารถทำได้

เครื่องบินรบ B-2 มีลักษณะแตกต่างจากเครื่อง F-117 แม้จะเป็นเครื่องบินอำพรางตัวเช่นเดียวกันเหตุเพราะ B-2 ใช้เทคโนโลยีพรางตัวที่สูงกว่า เครื่อง B-2 เป็นเครื่องบินความเร็วสูง เครื่องB-2 ไม่มีพื้นที่ส่วนท้ายเครื่องที่ยาวเกินไปจนเรดาร์จับได้ บังคับการบินคงที่ด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องยนต์ถูกช่อนไว้ในส่วนปีก ซึ่งจะระบายอากาศเข้าออกแทนที่ในส่วนปลายสุดของปีก ซึ่งเรดาร์จะจับความเคลื่อนไหวไม่ได้ ผิวตัวเครื่องจะถูกเคลือบด้วยวัตถุป้องกันเรดาร์ทำให้เกิดคลื่นสะท้อนกลับที่อ่อนมาก

น่า แปลกใจจริงๆที่มันใช้นักบินบังคับเพียง 2 คนเท่านั้น ไม่เหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิด B-1B ที่ใช้นักบินถึง 4 คนด้วยกัน


"ทุกสิ่งที่เราทำในการบินทดสอบก็คล้ายกับการที่ซ้อมมาในซิมมูลเลเตอร์ครับ เราคุ้นเคยกับช่องที่นั่งนักบินมันคล้ายกับเครื่อง FB-111 นักบินต้องนั่งถัดกันไป มันตัดเสียงอินเตอร์คอมที่เข้ามารบกวนหมดสิ้น เครื่องบินลำนี้กะทัดรัดดีมากครับ การเคลื่อนไหวมีความเป็นหนึ่งเดียว นักบินจะมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเครื่อง แม้ในขณะปฏิบัติการแปรขบวนบิน มันเป็นยิ่งกว่าเครื่องบินรบ ผมจำได้น่ะครับตอนบินเที่ยวที่สาม ผมเร่งเครื่องไปแรงสุด เครื่องบินพุ่งไปความเร็วสูงเหมือนเครื่องบินขับไล่อย่างไงอย่างงั้นเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องบินลำใหญ่ขนาดนั้นจะทำความเร็วสูงได้ขนาดนั้น เป็นเครื่องบินที่สร้างขึ้นเพื่อจะบินจริงๆ สมรรถนะดีมาก และมีระยะการบินที่ไม่น่าเชื่อเลย และนี่แหละคือสิ่งที่คุณมองหาสำหรับเครื่องบินชักลำล่ะครับ มันๆเยี่ยมๆอย่างบอกไม่ถูก"

ท่อไอเสียพิเศษของเครื่อง B-2 และ F-117 เป็นอีกลักษณะหนึ่งของเทคโนโลยีStealth การออกแบบพวกนี้เพื่อลดการตรวจจับของคลื่นเรดาร์ กองกำลังของศัตรูอาจใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อตรวจจับตำแหน่งของฝ่ายตรงข้าม การตรวจจับเสียงถูกนำมาทดสอบในช่วงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ไร้ผลเพราะมีคู่แข่งที่เหนือกว่านั่นคือการใช้เซ็นเชอร์ที่ทำให้การตรวจจับลดลง โดยการเพิ่มอุณหภูมิความร้อนให้แตกต่างกันระหว่างตัวเครื่องบินและสภาพอากาศแวดล้อม เช่นเดียวกับกรณีของเรดาร์ เทคโนโลยีการใช้คลื่นตัดแสงสามารถใช้นำวิถีจรวดได้ด้วย โดยการยิงจรวดไปตรงส่วนท่อไอเสียของเครื่องยนต์

F-117 ใช้สัญญาณคลื่นตัดแสงแทนเรดาร์ เครื่องบินรบโซเวียตเช่น มิก 29 Su-27 ก็ใช้คลื่นตัดแสงเพื่อเสริมการทำงานของเรดาร์เช่นกันและใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเมื่อต้องการทำลายเป้าหมาย เครื่องยนต์ของ B-2 และ F-117 ได้รับการออกแบบให้ลบล้างเซ็นเซอร์และวิถีนำจรวดจู่โจมได้ ระบบนี้ทำงานอย่างไร ก็ด้วยสมรรถนะสูงสุดและยุทธวิธีลดพลังความร้อนของเครื่องยนต์ ลักษณะเฉพาะของเครื่องB-2 และการออกแบบที่เฉลียวฉลาดที่สุดนั้นทำให้ราคาของมันสูงมาก เทคโนโลยีก้าวหน้าของB-2 นั้นปัจจุบันมีราคาประมาณ 500 ล้านดอล์ลา เป็นเครื่องบินรบที่แพงที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้เลยทีเดียว

B-2 และ F-117 มิใช่เครื่องบินStealth ลำสุดท้ายของโลกเพราะมีการพัฒนาเครื่องบินรบแบบอื่นๆอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น

F-22 แรพเตอร์ เครื่องขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดของสหรัฐอเมริกาในทศวรรษที่ 21
ด้วยรูปร่างเหมือนดาบสองคมที่ทำด้วยไทเทเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ มีความทันสมัยมาก ถ้าปิดเครื่องหาทิศทางบนเครื่องบิน แม้แต่ดาวเทียมก็ไม่สามารถตรวจจับได้ เป็นเครื่องบินทหารแบบแรกที่สร้างออดมาโดยมีอุปกรณ์ แบล็ค-เอาท์-บัตตัน หมายถึงทำให้นักบินอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ที่นักบินขับไล่สามารถทนได้
แรพเตอร์สามารถทนแรงจีได้ในการเลี้ยวถึง 22 จี+ ถ้าวันหนึ่งข้าศึกษาสามารถสร้างขีปนาวุธที่สามารถไล่ติตามเจ้าแรพเตอร์ได้ และนักบินเห็นว่าการดจมตีใกล้เข้ามา นักบินก็จะกดปุ่ม แบล็ค-เอาท์-บัตตัน เครื่องบินจะเลี้ยงหักอย่างแรง ปล่อยให้ขีปนาวุธปล่อยผ่านเลยไป แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้นักบินหมดสติไปชั่วขณะ แต่แรพเตอร์จะกลับมาบินตรง-บินระดับโดยอัตโนมัติ จนกว่านักบินจะคืนสติ กลับมาควบคุมเครื่องบินต่อไป




สุดท้ายนี้ B-2 และ F-117 ก็จะถูกเก็บเข้าไว้เป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์การบินของอเมริกาในฐานะผู้บุกเบิกวิทยาการด้านการอำพราง

Credit: thaifliht.com
#เครื่องบิน #สาระ
arm2528
นักแสดงรับเชิญ
25 ม.ค. 53 เวลา 20:53 13,746 4 46
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...