ทำไม ผู้หญิงบางคนไม่เห็นจะสวยเลย แต่เสน่ห์เยอะซะเหลือเกิน
(นักจิตวิทยา: กรองทอง แก้วน้อย, จอย)
นั่นสิคะ นี่เป็นคำถามที่ผู้หญิงหลายๆคน (รวมทั้งดิฉันเอง) ชอบสงสัยกันนักหนาว่า ทำไมนะ ยัยคนนั้นไม่เห็นจะสวยเล๊ย แต่ทำไมผู้ชายติดกันเกรียวกราว หรือไปหาหมอทำเสน่ห์ที่ไหนมาเนี่ย (จะได้ไปหามั่ง.. ฮา)
ความมั่นใจเป็นเสน่ห์ที่สำคัญมากของ ผู้หญิงเลยค่ะ ผู้หญิงบางคนสวยมาก แต่เป็นคนไม่มั่นใจ หวาดกลัว ไม่กล้า เสน่ห์ก็หายไปเยอะเลยค่ะ กลายเป็นคนหงอ ขี้กลัว ขณะทีผู้หญิงบางคน ถึงจะหน้าตาก็ธรรมดา แต่มีความมั่นใจ (ไม่ต้องมั่นใจเกินร้อยจนดูเยอะไปนะคะ เดี๋ยวคนอื่นจะกลัวหมด จากสวยจะกลายเป็นซวยค่ะ ) ก็ดูสวยได้ทันที ด้วยท่วงท่า การเดิน การนั่ง การพูดจาที่ดูฉะฉาน คล่องแคล่ว กระตือรือร้น เท่านี้ก็สะกดสายตาและหัวใจของใครต่อใครได้แล้วละค่ะ อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย ผู้หญิงด้วยกันยังชื่นชมผู้หญิงแบบนี้เลย ใช่ไหมคะ ^^
ความเรียบร้อยก็นับเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงที่ ผู้ชายหลายคนต้องยอมสยบแทบเท้าเลยค่ะ ทำไมผู้ชายถึงชอบผู้หญิงเรียบร้อยน่ะเหรอคะ ก็สืบเนื่องมาจากการวิวัฒนาการของมนุษย์เราเลยค่ะ ย้อนไปตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์เพศชายเป็นเพศที่แข็งแรง จึงต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวและพวกพ้อง อีกทั้งสามารถผลิตทายาทได้มาก ไม่จำกัดครั้ง และไม่ต้องเสียเวลาอุ้มท้อง ขณะที่เพศหญิงนั้นต้องเสียเวลาถึงเก้าเดือนในการให้กำเนิดทายาทในแต่ละครั้ง และทายาทที่ได้ก็มำนวนน้อยเหลือเกิน เมื่อคลอดแล้วเพศหญิงยังต้องมีหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูก การลงทุนและเสียเวลาให้กับการมีลูกแต่ละครั้งของเพศหญิงนั้นจึงค่อนข้างเยอะค่ะ เพศชายจึงหวงหากเพศหญิงจะไปมีสัมพันธ์กับผู้อื่นเพราะผู้หญิงของเขานั้นต้อง เสียเวลาให้กับการมีลูกนานมาก หากลูกที่ผู้หญิงท้องนั้นไม่ใช่ลูกของเขาก็จะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าใน การเลี้ยงดูลูกซึ่งไม่ใช่สายเลือดของตน สัญชาตญาณนี้จึงฝังแน่นเหมือนไมโครชิพและถูกถ่ายทอดมายังคนในยุคปัจจุนันค่ะ ทำให้ผู้หญิงเรียบร้อยนั้นต้องตาต้องใจชายยิ่งนัก ว่านี่แหละคือ “แม่ของลูก” ที่จะไม่วอกแวกไปข้องแวะกับชายอื่น และจะรักเดียวใจเดียวต่อเขา รวมถึงสามารถทุ่มเทเวลาในการเลี้ยงดูลูกของเขาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ผู้หญิงไม่เรียบร้อย (เช่นดิฉัน) ก็ใช่ว่าจะหมดหนทางนะจ๊ะ ยังมีทางอื่นอีก ไปดูกันต่อเลยค่ะ
ผู้หญิงที่ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง ร่าเริง แม้จะไม่สวยก็ดูสดใส ทำอะไรก็น่ารักไปหมด เข้าทำนอง เธอทำใหโลกนี้สดใส เสน่ห์เหลือร้าย เพราะเมื่อเรายิ้ม จะเปลี่ยนบรรยากาศรอบข้างให้เปลี่ยนไป จากอะไรที่ดูมึนตึงอยู่ก็ค่อยๆผ่อนคลายลง และจะช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของคนรอบข้างให้ดีตามเราได้ด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นการติดต่อทางอารมณ์ ซึ่งการยิ้มเป็นอารมณ์ที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายที่สุด เมื่อเราเห็นใครยิ้มเราก็อยากจะยิ้มตามได้ไม่ยากนัก และเมื่อเรายิ้ม สมองจะหลั่งสารแห่งความสุขทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข เมื่อเรามีความสุข เราก็จะตีความสถานการณ์ทุกอย่างดีไปหมด จากผิดก็กลายเป็นถูกได้ เหมือนเวลาเด็กจะอ้อนขอเงินพ่อแม่ก็ต้องทำในขณะที่พ่อแม่อารมณ์ดีก่อน คงไม่มีใครยั่วให้พ่อแม่โกรธแล้วค่อยขอเงิน จริงไหมคะ จึงไม่แปลกเลยเมื่อเราได้ยิ้มหัวเราะร่วมไปกับใคร เราจะรู้สึกชอบคนๆนั้น แม้ว่าเขาอาจหน้าตาธรรมดา แต่เราก็จะรู้สึกว่าเขาน่ารักและมีเสน่ห์ เพราะฉะนั้น อยากให้ใครชอบก็ต้องเป็นคนยิ้มง่าย ร่าเริงเข้าไว้นะคะทุกคน ^^
ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งค่ะที่ทำให้ ผู้หญิงไม่น่ารักเอาซะเลย เห็นอะไรก็เครียดไปหมด กินข้าวก็เครียด นอนก็เครียด พอเครียดแล้วอะไรจะตามมาคะ ? ตีนกาและรอยเหี่ยวย่นค่ะ ปกติผิวหน้าก็อาจไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งเครียดแล้วรอยย่นถามหานี่จะขนาดไหนคะ อย่านึกให้ยิ่งเครียดเลยค่ะ จริงไหม ^^
ในทำนองเดียวกันกับการยิ้มค่ะ ความเครียดก็สามารถส่งต่อกันทางอารมณ์ได้ง่ายเช่นเดียวกัน แต่ส่งผลกลับกันทางด้านจิตใจนะคะ เมื่อเราเห็นใครเครียด หน้ามุ่ย นั่งเงียบๆไม่พูดไม่จา ชวนคุยด้วยก็ไม่คุยด้วย ถามอะไรก็ตอบห้วนๆ ถึงเราจะเป็นคนอารมณ์ดีและมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศขนาดไหนก็คงยิ้มไม่ออกหรอกค่ะ หน้าเราก็จะค่อยๆมีความสุขเบาบางลง บรรยากาศรอบข้างกะเริ่มตึงเครียด พอเราเข้าสู่อารมณ์นี้แล้ว ดอกไม้จะสวยเพลงจะเพราะขนาดไหนก็คงไม่มีอารมณ์ไปฟังหรอกค่ะ นั่นคือความเครียดทำให้อารมณ์ของเราและคนรอบข้างไม่สดใส เห็นอะไรก็ติดขัดหงุดหงิด ประเมินทุกสิ่งในแง่ลบ ความเครียดไปขัดขวางการทำงานของการมองเห็นความสวยงามนั่นเองค่ะ นั่นคือเมื่อเราเครียด สมองต้องทำงานหนักมาก และต้องหลั่งสารรวมทั้งฮอร์โมนมากมาย ใช้พลังงานก็เยอะเพื่อนำมาครุ่นคิดถึง สิ่งที่ทำให้เครียด ทีนี้จะเอาพลังงานที่ไหนมามองเห็นความสวยงามต่างๆละคะ จริงไหม เมื่อเราอารมณ์ไม่ดี สมองเหนื่อยล้า ประเมินอะไรก็ไม่ดีไปหมด ทีนี้ต่อให้เอานางงามจักรวาลมาอยู่ตรงหน้าก็คงไม่สนใจว่าสวยหรอกค่ะ เพราะฉะนั้น หากอยากดูดี มีเสน่ห์ ก็อย่าแสดงความเครียดให้ใครเห็นกันบ่อยๆนะคะ ทางที่ดีก็ควรหาทางผ่อนคลายอารมณ์ให้หายเครียดค่ะ ซึ่งการผ่อนคลายอารมณืนั้นก็มีมากมาย ซึ่งเราจะพูดกันต่อไป
พอพูดถึงความเครียดแล้ว ก็คงหนีเรื่องการบ่นไปไม่พ้นค่ะ ผู้หญิงเราชอบระบายความเครียดด้วยการพูดคุยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อยากให้มีคนรับฟัง อยากระบาย ปลดปล่อย พอพูดมากๆเข้าก็กลายเป็นบ่นไป บางคนพูดได้ไม่หยุดกับเรื่องเดิมๆ ยิ่งพูดยิ่งเครียด ยิ่งยึดติดกับปัญหา เพราะในแง่จิตวิทยาแล้ว การพูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆบ่อยๆ ก็เหมือนกับการสะกดจิตตัวเองนั่นเองค่ะ เราเล่าให้คนอื่นฟังก็เป็นการบอกตนเองไปในตัวว่าเรากำลงมีปัญหานี้อยู่นะ พอพูดบ่อยๆก็เป็นการบอกตัวเองบ่อยๆว่าเรามีปัญหานี้ สุดท้ายเราก็หลงวนอยู่กับปัญหา ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นแต่ปัญหา ยิ่งเจอปัญหาก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดด็ยิ่งบ่น ยิ่งบ่นก็ยิ่งเครียด เป็นวัฎจักรไปไม่สิ้นสุดค่ะ เคยเห็นเพื่อนหลายคนรวมทั้งตัวเองด้วย เมื่อเจอปัญหาเราก็อยากระบาย อยากเล่าให้ใครสักคนฟัง พอเล่าครั้งแรกก็สบายใจว่ามีคนรับฟัง แต่พอเล่าให้หลายๆคนฟัง ยิ่งฟังคนแนะแนะนำ ยิ่งรู้สึกว่าปัญหามันใหญ่จังเลย เอ๊ะ! ทำไมก่อนเล่าเราถึงรู้สึกว่าปัญหามันเล็กกว่านี้นะ สุดท้ายกลายเป็นว่าจากปัญหาที่เราพอทนได้ พอเล่าให้คนอื่นฟังมันกลับยิ่งทนไม่ได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เนื่องจากการที่เรายิ่งพูดก็เหมือนเรายิ่งตอกย้ำกับตนเองว่าเรามีปัญหานะ แล้วพอคนอื่นแสดงความเห็นอกเห็นใจก็เป็นการสริมแรงให้เรา ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนความคิดเรา ทำให้เรายิ่งเชื่อว่าเรามีปัหาอยู่นะ คนอื่นก็ยังเห็นด้วยเลยว่านี่คือปัญหา พอคนอื่นแสดงความคิดเห็น ก็กลายเป็นว่า โห ! นี่เป็นปัญหาใหญ่ซะด้วย หลายๆคนก็บอก แล้วยังบอกให้เราทำโน่นทำนี่อีก ร้อยคนก็บอกร้อยแบบ อย่างนี้จากเดิมที่เครียดอยู่แล้ว สุดท้ายยิ่งเล่าใหคนอื่นฟังเยอะๆก็ยิ่งเครียดหนักเลยสิคะ ทั้งเครียดทั้งงง ว่าฉันควรจะเอาวิธีคิดแบบไหนมาสู้กับปัญหาฉันได้เนี่ย ทั้งที่มีคนหลายคนแนะนำทางแก้ดีๆให้บอกว่าให้เราใจเย็นๆ ทำใจให้สบาย แต่ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ค่ะ เรามักสนใจต่อสิ่งที่เป็นด้านลบมากกว่า สารด้านลบจะสามารถเกาะกุมจิตเราได้ง่ายกว่าสารด้านบวก เราจะเห็นหน้าคนบึ้งในบรรดาหน้าคนยิ้มได้ง่ายกว่าหน้าคนยิ้มในบรรดาหน้าคน บึ้ง เพราะฉะนั้น พอมีคนมาแสดงความคิดเห็นด้านลบปั๊บ เราก็สนใจฟังทันที กลายเป็นว่ายิ่งเล่าให้คนอื่นฟังก็ยิ่งเครียดค่ะ ทางที่ดีคือหากคุณอยากระบาย ก็ระบายให้คนที่สนิทจริงๆเพียงไม่กี่คนเท่านั้นฟัง แล้วถ้าคุณมีคนสนิทเยอะล่ะ? ก็ต้องเลือกคนฟังค่ะ ว่าถ้าคนนี้ฟังเรื่องนี้แล้วเขาจะทำให้เราสบายใจได้ไหม ถ้าทำได้ก็เลือกคนนั้น เรื่องแต่ละเรื่องเราอาจเล่าให้คนฟังต่างคนกันก็ได้ค่ะ เพราะแต่ละคนมีนิสัยต่างกันนี่คะ จริงไหม ?
เสน่ห์ต่อมาก็คือ การเข้าอกเข้าใจผู้อื่นและรู้จักกาลเทศะค่ะ การที่เราเห็นใครเข้าอกเข้าใจคนอื่น รับฟังคนอื่น ไม่ทำหน้าหงิกหน้างอ เราก็จะรู้สึกว่าคนๆนี้เป็นคนอบอุ่น เราก็อยากจะเข้าใกล้ เพราะเรารู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายความรู้สึกของเรา ไม่ทำให้เราต้องเจ็บช้ำใจ ไม่ทำให้เราต้องอับอายขายหน้า รู้ว่าตอนไหนควรพูดหรือทำอะไร คนประเภทนี้ละค่ะที่ชนะเลิศ ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็เมตตาค่ะ เพราะเขาสามารถส่งความอบอุ่นมายังคนรอบข้าง ทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ และอยากเข้าไปใกล้ชิดกับเขา ต่างกับบางคนที่สวยมาก แต่ดูแล้วหยิ่ง ไม่อบอุ่น เราก็ไม่กล้าเข้าใกล้ใช่ไหมคะ แม้ว่าหน้าตาของเขาจะดึงดูดสักเพียงใดก็ตาม เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ค่ะ ในการประเมินว่าการเข้าใกล้ใครสักคนนั้น จะเป็นอันตรายต่อเราไหม จะทำร้ายความรู้สึกเราไหม เป็นความเสี่ยงหรือไม่ หากเราประเมินว่าคนๆนี้หากเข้าใกล้จะมีความเสี่ยง เช่น ทำให้เราเสียใจ ทำให้เรารู้สึกไม่อบอุ่น ไม่ปลอดภัย เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงคนๆนั้นนั่นเองค่ะ
ทราบอย่างนี้แล้ว สาวๆจุดก็ควรหาจุดดีของตนเอง รู้ว่าเรามีข้อดีอะไร เพื่อกลบจุดด้อยของเรา อย่าไปเครียดและจมจ่อมกับจุดด้อยของตน พยายามผลักดันจุดเด่นของคุณออกมานะคะ แล้วคุณจะพบว่า คุณนี่แหละคือสาวทรงเสน่ห์ที่ใครๆก็ใฝ่ฝันค่ะ ^^