ลักษณะของภพภูมิต่าง ๆ
1. เทวดา
ผู้ที่เกิดเป็นเทวดาก็คือผู้ที่อดีตชาติชอบทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นเทวดาอยู่ในเทวโลก หรือที่เราเรียกว่าสวรรค์ สวรรค์มีทั้งหมด 6 ชั้น เรียงจากชั้นต่ำไปสูงดังนี้คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี แต่ละชั้นจะมีเทพผู้เป็นใหญ่ปกครอง เช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีท้าวสักกะ หรือที่เราเรียกกันว่า พระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง เทวดาไม่มีพ่อแม่ เพราะเป็นพวกโอปปาติกะ คือเกิดเติบโตทันที มีทั้งเพศชายและเพศหญิง เพศชายเรียกว่าเทพบุตร หรือบางทีก็เรียกว่าเทวดา ส่วนเพศหญิงเรียกว่าเทพธิดา หรือบางทีก็เรียกว่านางฟ้า เทวดามีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์มาก และมีความเป็นอยู่สุขสบาย พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์หมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอยหรือที่อยู่อาศัย ซึ่งเรียกว่าวิมาน ก็ล้วนแต่เนรมิตขึ้นมาทั้งสิ้น เทวดาไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีการแก่ เวลาตายร่างกายก็หายวับไปทันที ไม่มีการเน่าเปื่อย เนื่องจากเหล่าเทวดามีความเป็นอยู่สุขสบาย ร่างกายไม่มีการเจ็บป่วย ไม่แก่เฒ่า ทำให้การปฏิบัติธรรมทำได้ยากเพราะไม่เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิต
นอกจากเทวดาที่อาศัยอยู่ในสวรรค์แล้ว ยังมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาบางจำพวกอาศัยอยู่ในที่ต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น เทวดาที่อาศัยอยู่ในบ้าน เราเรียกกันทั่วไปว่า ผีบ้านผีเรือน เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้เรียกว่ารุกขเทวดา ถ้าเป็นหญิงบางทีก็เรียกว่านางไม้ เทวดาที่ดูแลอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เราก็เรียกกันทั่วไปว่าเจ้าที่เจ้าทาง แม้ว่าเทวดาเหล่านี้จะอาศัยอยู่ที่เดียวกับเรา แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา เพราะร่างกายของเทวดาเป็นกายทิพย์ การที่จะเห็นเทวดาได้ เราจะต้องมีตาทิพย์ หรือไม่ก็เทวดาเนรมิตกายให้เห็น เราจึงจะเห็นได้
2. พรหม
ผู้ทีเกิดเป็นพรหมก็คือผู้ที่อดีตชาติได้ฝึกสมาธิจนมีฌานแก่กล้า เป็นผู้ที่มีจิตใจสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลก พรหมมีอยู่ 2 ประเภท คือ รูปพรหม และอรูปพรหม พวกรูปพรหมมีรูปร่างลักษณะคล้ายเทวดาอาศัยอยู่ในพรหมโลกที่เรียกว่ารูปภพ มีทั้งหมด 16 ชั้น ผู้ที่เกิดเป็นรูปพรหมก็คือผู้ที่อดีตชาติเคยฝึกรูปฌานจนแก่กล้า เมื่อตายไปก็เกิดเป็นรูปพรหม ส่วนพวกอรูปพรหมไม่มีกายมีแต่จิตและเจตสิก จึงมองไม่เห็นรูปร่าง อาศัยอยู่ในพรหมโลกที่เรียกว่า อรูปภพ มีทั้งหมด 4 ชั้น ผู้ที่เกิดเป็นอรูปพรหมก็คือ ผู้ที่อดีตชาติเคยฝึกอรูปฌานจนแก่กล้า เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นอรูปพรหม
ในชั้นพรหมนี้ ไม่มีการข้องแวะทางเพศ ไม่ต้องกินอาหาร อาศัยความสุขจากฌานเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต พรหมโดยทั่วไปมีรูปร่างเป็นชาย อายุขัยของพรหมยาวนาน ยาวนานจนพรหมบางองค์เข้าใจผิดว่าพวกของตนเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย นอกจากนี้ยังหลงผิดไปอีกว่าพวกของตนเป็นผู้สร้างโลก ที่เข้าใจเช่นนี้ก็เพราะตนได้เห็นสัตว์ในภพอื่นเวียนว่ายตายเกิดไปหลายต่อ หลายชาติ แต่ตนเองนั้นยังไม่ตาย นอกจากนี้ยังเห็นว่าตนเองเป็นผู้ที่มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ปรารถนาสิ่งใดก็เนรมิตได้สมปรารถนา จึงคิดเอาเองว่าพวกของตนเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย และพวกของตนนี่แหละที่เป็นผู้สร้างโลก
3. เปรต
ผู้ที่เกิดเป็นเปรตก็คือ ผู้ที่ในอดีตชาติชอบทำบาป ทำอกุศลอยู่เสมอ ธรรมชาติของเปรตมีรูปร่างอัปลักษณ์แตกต่างกันตามลักษณะของกรรมที่นำเกิด มีความอดอยาก หิวโหยอยู่เสมอ อาหารและเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ของเปรต สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการอุทิศส่วนกุศลจากผู้อื่นที่อยู่ในสุคติภูมิ การที่เรากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จใหม่ ๆ ผู้ที่ได้รับส่วนบุญที่เราอุทิศให้ ก็คือเปรตนี่เอง ส่วนผู้ที่เกิดในภพภูมิอื่นไม่สามารถรับส่วนบุญนี้ได้ แต่อาจจะทำบุญให้เกิดขึ้นได้ด้วยการอนุโมทนา เช่น เมื่อเราได้ทำบุญเสร็จแล้ว ไปบอกให้คนอื่นฟัง คนอื่นก็นึกยินดีในบุญที่เราทำ หรือกล่าวอนุโมทนาในบุญที่เราทำ ขณะนั้นคนผู้นั้นก็ได้บุญ คือ บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา ถ้าเราทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้แก่โอปปาติกะทั้งหลาย มีเทวดาองค์หนึ่งรับรู้ในบุญที่เราทำ และได้อนุโมทนาในบุญนั้น ขณะนั้นเทวดาผู้นั้นก็ได้บุญ คือ บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา เปรตโดยทั่วไปมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์มาก และใช้ชีวิตอย่างอดอยากอยู่ในโลกเปรตเป็นการชดใช้กรรมที่ในไว้ในอดีตชาติ อสุรกายที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา ก็จัดเป็นเปรตชนิดหนึ่ง แต่มักนิยมเรียกแยกกันว่า เปรตและอสุรกาย เปรตบางจำพวกอาศัยอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ บนโลกมนุษย์เช่นเดียวกับเทวดาบางจำพวก เปรตบางตนก็มีฤทธิ์เช่นเดียวกับเทวดา และสามารถปรากฏกายให้เราเห็นได้ ซึ่งเราเรียกกันทั่วไปว่า ผี
ว่าถึงเรื่องผีเรื่องวิญญาณ ความเข้าใจของคนไทยในเรื่องผีเรื่องวิญญาณนี้ ต่างจากคำสอนในพุทธศาสนาอย่างมาก พวกเราส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า คนเราเมื่อตายไปก็จะเป็นวิญญาณล่องลอย ยังไม่ไปผุดไปเกิด บางทีก็ปรากฏร่างให้เราเห็น ที่เรียกกันว่าผี ส่วนทางพุทธศาสนานั้น วิญญาณ หมายถึง จิต จิตเป็นนามธรรม มองไม่เห็นต้องอาศัยอยู่กับรูปหรือกายอยู่เสมอ จะล่องลอยไปมาไม่ได้ คนเราเมื่อตายลง จิตก็จะดับจากกายนี้ ไปเกิดในกายใหม่ทันที ที่เราเห็นเป็นผีนั้น อาจจะเป็นลักษณะของเปรตปรากฏกายให้เห็นก็ได้ เปรตก็มีกายมีจิตเช่นเดียวกับมนุษย์ หรืออาจจะเป็นเทวดาที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เนรมิตให้เราเห็นเป็นภาพของคนตายก็ได้ ไม่ใช่ภาพของวิญญาณที่ล่องลอยอย่างที่เราเข้าใจ
4. สัตว์นรก
ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์นรกก็คือ ผู้ที่อดีตชาติชอบทำบาปทำอกุศลอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นสัตว์นรก ถูกทรมานให้ได้รับความเจ็บปวดเร่าร้อนอยู่ในนรก เป็นการชดใช้กรรมที่ทำมาในอดีตชาติ ไม่มีโอกาสทำบุญทำกุศลแต่อย่างใด ผู้เป็นใหญ่ในนรกเรียกว่า พญายม หรือยมราช ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในนรกเรียกว่า นิรยบาล นรกแบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ ได้ 8 ขุม ขุมที่ลึกที่สุดเรียกว่า อเวจี อายุขัยของสัตว์นรกยืนยาวกว่ามนุษย์มาก
5. สัตว์เดรัจฉาน
ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็คือ ผู้ที่อดีตชาติชอบทำบาปทำอกุศลอยู่เสมอ สัตว์เดรัจฉานอาศัยอยู่บนโลกนี้ และมีกายเนื้อเช่นเดียวกับมนุษย์ เราจึงมองเห็นได้ สัตว์เดรัจฉานแบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีการดำรงชีวิตและมีอายุขัยที่แตกต่างกัน ธรรมชาติของสัตว์เดรัจฉานนั้น มีโมหะมาก มีสติน้อย มีความเข้าใจในเหตุผลน้อย ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องบาปบุญ ถ้าเปรียบมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานแล้วละก็ คนบ้ามีวิถีชีวิตไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานเลย
6. มนุษย์
ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ก็คือ ผู้ที่มีอดีตชาติชอบทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ เมื่อตายไปก็จะไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้ มนุษย์เป็นภพภูมิที่ทำกรรมทั้งดีทั้งชั่วได้ง่ายกว่าภพภูมิอื่น เช่น นึกอยากจะทำทานก็ทำได้ง่าย เพราะผู้ที่มีความเดือดร้อน ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมีมาก ต่างกับเทวดาและพรหม จะทำทานก็ทำได้ยาก เพราะต่างก็มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ผู้ที่เดือดร้อนมีน้อย ส่วนทุคติภูมิทั้งสามก็มีความเป็นอยู่ลำบาก ไม่มีโอกาสที่จะทำบุญทำกุศลได้มากนัก เพราะเหตุที่โลกมนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ไม่สุขสบายเกินไปและไม่ลำบากเกินไป จึงเป็นภพภูมิที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้น ก็ล้วนแต่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น
อายุขัยของมนุษย์นั้นไม่แน่นอน สมัยใดที่คนส่วนใหญ่อยู่ในศีลในธรรมอายุขัยก็ยืนยาว สมัยใดที่คนไม่อยู่ในศีลในธรรม อายุขัยก็สั้น
ในสมัยพุทธกาลอายุขัยของมนุษย์ประมาณ 100 ปี หลังจากนั้นอายุขัยก็สั้นลงตามลำดับจนเหลือ 10 ในสมัยนั้นผู้คนจะมีจิตใจต่ำทรามถึงกับฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก พวกที่รอดชีวิตเห็นโทษภัยของการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จึงพยายามทำความดี อายุขัยของมนุษย์ก็ยืนยาวขึ้นตามลำดับ เมื่ออายุขัยของมนุษย์ยืนยาวถึง 80,000 ปี จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งอุบัติขึ้น ชื่อว่า พระศรีอริยเมตไตรย นับเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้ นี่เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงพยากรณ์ไว้ และมีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก