กองอาทมาต วีรบุรุษของชาวไทย

วีรกรรมของกองอาทมาตที่อ่าวหว้าขาว ประจวบคีรีขันข์ พศ 2302

กอง อาทมาต เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นกองทหารหน่วยหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ตามเมือง หน้าด่าน และหัวเมืองสำคัญ ทำหน้าที่พิเศษ เช่น เป็นกองทหารม้า เคลื่อนที่ เร็ว จู่โจม และหาข่าว บ้างก็ว่า เป็นกองรบ อันประกอบไปด้วยผู้ที่ชำนาญวิชาอาคม นำหน้า กองทัพ 

เมื่อ ปี พศ 2302 พระยารัตนาธิเบศร์ จตุสดมภ์ กรมวัง ได้นำกำลัง 2000 คนเป็นกองหนุน โดยมีขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ ผู้รู้วิทยา อาคม และเพลงดาบโบราณ อาสาเข้าร่วม สงครามต่อต้านทัพพม่า โดยคุม กองอาทมาตร วม 400 คนกองทัพหลวงครั้งนั้นมี พระยายมราชเป็นแม่ทัพใหญ่ มีกำลังรวม 5400 คน เคลื่อนพลเพื่อกันดินแดนไทยทั้งเมืองตะนาวศรีและมะริด

เมื่อกองทัพ พระยายมราชเคลื่อนถึงแนวข้ามเขาบรรทัดออกไปทางด่านสิงขร ได้ทราบว่าทั้งสอง เมืองเสียแก่กองทัพมังมหานรธาแล้ว จึงวางกำลังอยู่ที่แก่งตุ่มปลายย้ำเมือง ตะนาวศรี ขณะที่กองทัพพระยายมราชไม่ทันมีที่มั่น ทัพมังมหานรธาก็เข้าตีจน แตกพ่าย พม่าได้ใจจึงเคลื่อนทัพไล่ตีมาขณะนั้นกองหนุนมาไม่ทันถึง

ขณะ นั้นเองกองหนุนของพระยารัตนาธิเบศร์อยู่ที่เมืองกุย ได้ทราบข่าวจึงให้ ขุน รองปลัดชูนำกองอาทมาตไปสกัดทัพหน้าพม่าที่อ่าวหว้าขาว กองทัพพม่าเคลื่อนทัพ มาถึงเวลาเช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูนำทหารอาทมาต 400 คนบม้าศึกออกเข้าโจมตีโดยไม่หวั่นหรั่นพรึง โดยทหาร
พม่าขณะนั้นมีไม่ต่ำกว่า 8000 คน

พงศาวดาร กล่าวว่า เป็นการรบของทหารม้าไทยอย่างหฤโหดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ กองทัพไทย มีการรบด้วยอาวุธสั้นถึงขั้นตะลุมบอน ฆ่าทหารพม่าล้มตายเป็นอัน มาก ตัวขุนปลัดชูเมื่อสูญเสียม้า ก็ถือดาบอาทมาตสองมือ วิ่งเข้าไปท่ามกลาง ข้าศึก ฟันทหารพม่าล้มตายลงไปก่ายกันดังขอนไม้ 

เมื่อพระยารัตนา ธิเบศร์ได้ทราบข่าวการปะทะก็ส่งกำลังทหารไปช่วยอีก 500 คน ทว่าไปไม่ทันเสีย แล้ว กองอาทมาตทั้ง 400 คนและขุนรองปลัดชู ได้สู้ยันทัพพม่าตั้งแต่ย่ำรุ่งจนเที่ยง ก็สิ้นเรี่ยวแรง ลง บางส่วนโดนจับ ที่เหลือยังไม่ยอมแพ้ นายทัพพม่าจึงให้กองช้างเข้าลุย เหยียบทหารอาทมาตไทยล้มตายเป็นอันมาก และไล่ต้อนกองอาทมาตไปสู้ในทะเล  จม น้ำตาย หมดทั้งกอง

นับว่ากำลังกองอาทมาตของทัพไทย ได้สู้ปกป้อง ประเทศอย่างสมเกียรติอย่างทหารไทย และได้ชื่อว่าเป็นหน่วยทหารม้าที่แข็ง แกร่งและกล้าหาญ ไม่รู้จักคำว่าแพ้ นอกจากตายเสีย เกียรติภูมิที่ลือเลื่อง ไปจนถึงที่พงศาวดารต้องบันทึกกองทหารม้าจากเมืองวิเศษชัยชาญเพียง 400 คนที่ต้านทัพพม่าจนตัวตาย พม่าจึงได้เหยียบแผ่นดินไทย ไว้เป็นหน้าหนึ่งใน ประวัติศาสตร์
อำเภอวิเศษ ไชยชาญ มีวัดชื่อแปลกอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า วัดสี่ร้อย ที่มาของวัดนี้เกี่ยวพันกับเรื่องราว ของผู้กล้าแห่งวิเศษไชยชาญ ที่สู้รบกับข้าศึกอย่างกล้าหาญอดีตสยามจะพาท่านผู้อ่านไปพบกับเรื่องราวของ พวกเขากัน

.....ปี พุทธศักราช 2302 ตรงกับรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวสุริยาศอมรินทร์ หรือที่เรียกกันว่า พระเจ้าเอกทัศน์ ขึ้นครองราชสมบัติ กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา ในครั้งนั้น พระเจ้าอลองพญา ครองราชสมบัติกรุงอังวะรัตนสิงห์ ปกครองพม่ารามัญทั้งปวง พระองค์ให้เกณฑ์ไพร่พล 8000 ให้มังฆ้องนรธาเป็นนายทัพยกมา ตีเมืองทวายและมะริด กับตะนาวศรี

พระเจ้าเอกทัศน์ทรงเกณฑ์พล 5000 แบ่งเป็นสองทัพ โดย ให้พระราชรองเมืองว่าที่ออกญายมราชคุมทัพใหญ่พล 3000 แลให้ออกญารัตนาธิเบศร์คุมทัพหนุนพล 2000 ในครั้งนั้น ขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ นำกองอาทมาต 400 มาอาสาศึก แลได้ติดตามไปกับกองทัพออกญารัตนาธิเบศร์ เมื่อเดินทางข้ามพ้นเขาบรรทัดก็ได้ทราบว่า เมืองมะริดและตะนาวศรี เสียแก่ข้าศึกแล้ว จึงตั้งทัพรออยู่เฉยๆ โดยทัพพระราชรองเมืองตั้งอยู่ที่แก่งตุ่มตอนปลายแม่น้ำตะนาวศรี ส่วนออกญารัตนาธิเบศร์ตั้งทัพอยู่ที่เมืองกุยบุรี แต่ให้กองอาทมาตมาขัดตาทัพรอที่อ่าวหว้าขาว

 

.....จาก นั้นสามวันทัพพม่าเข้าตีทัพไทยที่ แก่งตุ่มแตกพ่าย และยกมาเพื่อเข้าตีทัพหนุน กองอาทมาตของขุนรองปลัดชู ได้รับคำสั่งให้ตั้งรับพม่าที่ตำบลหว้าขาวริมทะเล ครั้นพอเพลาเช้า ทัพพม่า 8000 ก็ปะทะกับกองอาทมาต 400 นาย ทัพทั้งสองปะทะกันดุเดือดจนถึงเที่ยง มิแพ้ชนะ แต่ทัพไทยพลน้อยกว่าก็เริ่มอ่อนแรง ขุนรองปลัดชูรบจนสิ้นกำลังถูกทหารพม่า รุมจับตัวไป จากนั้นพม่าให้ช้างศึกเข้าเหยียบย่ำทัพไทยล้มตายเป็นอันมาก กองอาทมาต 400 คนตายแทบจะสิ้นทั้งทัพ ขณะเดียวกัน กองทัพออกญารัตนาธิเบศร์ ก็เร่งถอยทัพกลับอยุธยาทันทีที่ทราบว่ากองอาทมาตปะทะข้าศึก การรบครั้งนี้เป็นการเปิดฉากสงครามไทยพม่า ครั้งใหม่ นับเป็นการเปิดฉากที่น่าเศร้าก่อนจะนำไปสู่ฉากสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา

เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของกองอาสาวิเศษไชยชาญในครั้งนั้น จึงได้มีการสร้างวัดขึ้นเป็นที่ระลึกแก่นักรบกล้าโดยเรียกกันว่า วัดสี่ร้อย

.....ครับ ฟังดูน่าเศร้าและหดหู่ใจที่นักรบผู้กล้าต้องมาพลีชีพเยี่ยงนี้ หาก แต่ประวัติศาสตร์ก็คือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และไม่อาจแก้ไขได้ สิ่งเดียวที่คนรุ่นหลังจะทำได้ก็คือใช้เป็นบทเรียน เพื่อแก้ไขปัจจุบันและอนาคต เอาละครับก็จบเรื่องแต่เพียงเท่านี้

Credit: Tolerance
15 ส.ค. 55 เวลา 18:54 5,239 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...