หน่วย SWAT คือหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่ชนิดลับเฉพาะ เพื่อกิจการ "กำจัด" หรือ "ทำลาย" ผู้ก่อการร้ายในยุคปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หรือเมื่อประมาณ ๓๖-๓๗ ปีมาแล้ว โดยการก่อตั้งของกรมตำรวจในยุคนั้น ซึ่งเรียกกันว่า "หน่วยสวาท" แต่เพราะเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้หน่วยนี้ต้องถูกยุบไปเป็นการสิ้นสุดของหน่วยงานที่มีการก่อตั้งและฝึกฝนกันมาเป็นชนิดพิเศษนี้แหละค่ะ ซึ่งจะอธิบายให้ทราบว่ามันไปยังไงมายังไง สำหรับการก่อตั้งขึ้นในยุคนั้น และผลที่สุดก็ต้องสลายตัวไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็อาจมีหน่วยที่ปฏิบัติงานโดยลักษณะเดียวกันนี้ก่อตั้งขึ้นมาแทน "สวาท" เดิมและอาจมีอยู่ในหน่วยอรินทราชในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะมีการฝึกฝนกันอย่างเข้มงวดกวดขันจนมีประสิทธิภาพถึงขั้นไหน และใช้อาวุธปืนสไนเปอร์ยี่ห้อใด แบบใดเข้ามาแทนที่ รวมทั้งขนาดของกระสุนที่จะนำมาใช้งานด้วย
“สวาท” ที่กำลังจะเขียนเล่าให้ฟังอยู่นี่ หัวเรื่องมันก็ฟังได้ไพเราะ โรแมนติกเสนาะหูดีอยู่หรอกค่ะ แต่ความจริงแล้วมันไม่น่าพิศวาสอะไรจนนิดเดียว เพราะมันไม่ได้ "รัก" ใครมีแต่จะส่ง "ความตาย" ไปอภินันทนาการอย่างเดียวเท่านั้น และก็เป็นความตายอย่างเฉียบขาดรวดเร็วฉับพลันทันที เพื่อยุติปฏิบัติการร้ายในทุกรูปแบบจากฝ่ายตรงข้าม พร้อมทั้งช่วยเหลือ "ตัวประกัน" หรือรักษาความปลอดภัยของสถานที่ ตลอดจนสิ่งสำคัญอื่นๆ ที่ผู้ก่อการร้ายยึดเอาไว้เป็นเครื่องต่อรองได้อย่างทันการด้วย ไม่ใช่ว่าพอลงมือปฏิบัติการลงไปแล้ว ตัวประกัน สถานที่ หรือสิ่งสำคัญอื่นๆ ที่ผู้ก่อการร้ายยึดเอาไว้เป็นเครื่องมือต่อรอง ต้องพลอยล้มตายหรือพินาศฉิบหายลงไปพร้อมๆกันด้วย
อย่างเช่น เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรือนจำจังหวัดชลบุรีในสมัยหนึ่ง หรืออย่างเช่นกรณีที่หน่วยคอมมานโดของอียิบต์บุกเข้าชิงตัวประกันในการจี้เครื่องบินที่เกาะมอลต้าเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๒๘ ซึ่งปรากฏว่าตัวประกันพลอยตายไปด้วยถึง ๖๐ คน ซึ่งในลักษณะแบบนั้นหาใช้ฝีมือของ "สวาท" ไม่ แต่เป็นฝีมือ "สะห่วย" เสียมากกว่า เพราะกลเม็ดและฝีมือในการใช้อาวุธ การตัดสินใจและการวางแผนยังไม่ "เข้าขั้น" พอที่จะช่วยเหลือรักษาชีวิตของตัวประกนเอาไว้ได้ อันเป็นเรื่องน่าเอน็จอนาจยิ่ง หมายที่จะไปช่วยพวกเขากลับไปทำให้พวกเขาต้องตายเสียนี่ สาเหตุมันก็มาจากการที่ยังไม่รู้หลักในความปลอดภัยที่จะช่วยเหลือตัวประกันนั่นเอง ขาดการอบรม ฝึกปรือ ขาดยุทธวิธีอันถูกต้องด้อยฝีมือ
ท่านอาจพอรับรู้กันมาบ้างคร่าวๆว่า “หน่วยสวาท” นั้น หมายถึงหน่วยแม่นปืนหรือหน่วยซุ่มยิง เกี่ยวกับงานปราบปรามหรืองานรักษาความมั่นคงในพฤติการณ์ที่ยากจะใช้ระบบการปราบปรามปกติธรรมดาเข้าปฏิบัติงานได้ เช่น ซุ่มยิงพวกก่อการร้ายประเภทต่างๆ ที่ยึดตัวประกัน หรือยึดสถานที่ไว้ เพื่อแก้ไขคลี่คลายสถานการณ์ร้ายๆ นั้น ออกไป แต่ความจริงที่ลึกลงไปกว่านั้น หน่วยสวาทมีหน้าที่กว้างขวางและวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งขึ้นมากมายกว่าการซุ่มยิงหรือทำหน้าที่เป็นหน่วยแม่นปืนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หน่วยสวาทในความหมายแท้จริง มาจากอักษรย่อภาษาอังกฤษสี่ตัว คือ S.W.A.T. ซึ่งเมื่อนำมาผสมกันแล้ว อ่านออกเสียงว่า “สแวต” หรือจะอ่านให้ฟังดูเป็นภาษาไทยว่า “สวาท” (ก็ได้) การย่อของอักษรสี่ตัวนั้น
ก็มาจากคำเต็มดังนี้
S. ตัวแรกคือ (Special)
W. คือ (Weapons)
A. คือ (And)
T. คือ (Tactics)
คำเต็มคือ “สเปเชี่ยล เว็บปอนส์ แอนด์ แทคติกส์” (Special Weapons And Tactics) อันหมายถึงหน่วยงานที่จะต้องได้รับการฝึกใช้อาวุธพิเศษต่างๆ รวมทั้งกลยุทธเหนือเฆมทุกวิธีการเพื่อทำลายล้างศัตรู รวมทั้งช่วยเหลือตัวประกันและผู้บริสุทธิ์ให้พ้นจากภัยอันตรายด้วย ซึ่งอาวุธนั้นไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นอาวุธปืนอย่างเดียว แต่หมายถึงสรรพอาวุธทุกชนิดที่จะใช้ฆ่าหรือใช้ทำลายได้ในทุกรูปแบบ อันจะต้องนำมาศึกษาและฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ผนวกไปกับกลยุทธ เล่ห์เหลี่ยม กลอุบายต่างๆ เพื่อเอาชนะหรือพิชิตศัตรูให้ได้ ถือเป็นหน่วยจู่โจมปฏิบัติการพิเศษ นอกเหนือไปจากการปฏิบัติการของ “คอมมานโด” ที่เราเคยรู้จักกันทั่วๆ ไป ผมไม่แน่ใจว่าหน่วย “สวาท” นี้ จะมีการพัฒนาก่อตั้งกันขึ้นมาในโลกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ครั้งแรกที่โลกถูกปลุกให้ตื่นผวาขึ้นมาด้วยการจี้เครื่องบิน และยึดตัวประกันสำคัญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในทางการเมือง หน่วยงานชนิดนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านกับผู้ก่อการร้ายประเภทนี้ก่อนบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ฝึกฝนพัฒนากันให้ดีพอ น่าจะเป็นการปฏิบัติการแบบหน่วยคอมมานโดธรรมดาเสียมากกว่า ผลที่เกิดขึ้นก็คือ กองโจรอาหรับที่เรียกตนเองว่า “แบล็คเซ็ปเท็มเบอร์” หรือ “กันยายนทมิฬ” ที่ไปก่อการร้ายยึดตัวประกันเป็นนักกีฬาชาวยิว ครั้งไปแข่งขันโอลิมปิกที่เมืองมิวนิค เยอรมันนี หน่วยงานชนิดนี้ปฏิบัติการผิดพลาด โดยไม่มีการประสานงานให้ถูกต้อง หรือมีวิธีการอันแยบยลลึ้กซึ้งพอ รวมทั้งหย่อนความชำนาญเท่าที่ควร ผลก็คือตัประกันอันเป็นนักกีฬาชาวยิว ถูกพวกก่อการร้ายอาหรับดังกล่าว โยนระเบิดมือเข้าใส่และกราดปืนกลไปยังตัวประกัน ตายเรียบวุธทั้งชุด
นี่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของโลกทีเดียว เกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือตัวประกัน ซึ่งล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการตื่นตัวกันขึ้นครั้งใหญ่ว่า จะมีการอบรมฝึกฝนหน่วยงานชนิดนี้อย่างไร จึงจะให้เกิดประสิทธิภาพได้เต็มที่ โดยจะต้องทำงานไม่พลาด ก่อให้เกิดความล้มตายย่อยยับแก่ตัวประกันขึ้น หรือถ้าจำเป็นก็จะต้องเกิดขึ้นน้อยที่สุด และหลังจากนั้นมาอีก เยอรมันนีผู้พลั้งพลาดไปแล้วในครั้งแรก ก็ฝึกหน่วยพิเศษชนิดนี้รวมทั้งอาวุธที่จะใช้งานประเภทนี้ ทำงานกู้หน้าได้สำเร็จ เมื่อเกิดการจี้เครื่องบินขึ้นอีกครั้งที่เมืองโมกาดิชุ โดยสามารถจะบุกทะลวงจู่โจมเงียบ ราวกับหน่วยของปีศาจ เข้าไปเล่นงานพวกโจรจี้เครื่องบินเสียเรียบวุธ สามารถช่วยเหลือตัวประกันทุกคนได้อย่างปลอดภัย กับสามารถรักษาเครื่องบินไว้ได้สำเร็จ เป็นการ “แก้หน้า” ไปได้หลังจากได้ผิดพลาดอย่างแรงไปในครั้งแรก
ในเมืองไทยบ้านเรา ราว พ.ศ.๒๕๒๑ หรือ ๒๕๒๒ สายการบินคารูด้าของอินโดนีเซีย มาถูกคนร้ายกลุ่มหนึ่งจี้ยึดในสนามบินดอนเมืองนี่เอง รัฐบาลไทยในยุคนั้น ฉลาดพอที่จะไม่รีบลงมือปฏิบัติการอะไรลงไป เพียงล้อมคุมเชิงไว้เฉยๆ และติดต่อให้หน่วยสวาทของอินโดเนียมาทำหน้าที่จัดการกันเอง โดยเราประสางานอยู่ในวงนอกเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียในทางการเมือง สวาทของอินโดนีเซียยกโขยงกันมาดำเนินการแก้ไขได้โดยเครื่องบินไม่ถูกระเบิดก็จริง แต่เป็นที่ทราบกันว่าหน่วยจู่โจมที่เข้าไปกับพวกกองโจรและผู้โดยสาร ตายกันเละทั้งสามฝ่าย ซึ่งทางอินโดนีเซียปิดเงียบเป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยให้ใครทราบทั้งสิ้น ว่ามีผู้โดยสารในเครื่องบินเสียชีวิตไปกี่คน หน่วยจู่โจมทั้งหมดตายไปกี่คน คนร้ายตายไปกี่คน พองานสิ้นสุดลง เขาก็รีบนำศพ นำเครื่องบินที่ถูกยึดนั้นกลับประเทศของเขาทันที ซึ่งฝ่ายเราอันเป็นเจ้าของบ้านก็โล่งอกไป ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะถือว่าเป็นการกระทำของพวกเขากันเอง พ้นเคราะห์ไปได้!
ทีนี้ว่าถึง “สวาท” ที่เคยก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยของเรา ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการจี้ยึดตัวประกันในคราวโอลิมปิกที่มิวนิค เป็นหน่วยงานของกรมตำรวจ(ในยุคนั้นซึ่งก็คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุคนี้) ผู้ได้รับมอบหมายในการวางแผนก่อตั้งหน่วยนี้ขึ้นมา คือ ท่าน พล.ต.อ.เสริม จารุรัตน์ (ยศในขณะนั้นเป็น พล.ต.ต.) เพราะท่านผู้นี้เป็นผู้ชำนาญการทางด้านอาวุธปืนของกรมตำรวจอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทางกรมตำรวจก็ได้เลือกสรรตัวบุคคลที่เข้ามารับผิดชอบได้อย่างถูกต้องที่สุด และตั้งชื่อแบบไทยว่า“สวาท” คัดเลือกคนและอาวุธเข้าประจำหน่วย
การฝึกหน่วยสวาทของเมืองไทยบ้านเรา ได้ถูกกระทำขึ้นอย่างระมัดระวังเข้มงวดและกวดขันที่สุด มีการทดสอบฝีมือการยิงปืนกันทุกเดือน จากบุคคลที่คัดเลือกแล้ว ซึ่งส่วนมากมาจากตำรวจและทหารซึ่งมีความแม่นปืนเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว ทหารนั้นเลือกมาจากทุกเหล่าทัพ ในการทดสอบประจำเดือนนั้น ถ้าใครฝีมือตกลงไป หรือหย่อนลงไป ก็จะถูกคัดออกจากหน่วย ผู้ที่ทำคะแนนได้ดีเยี่ยม จะถูกส่งเข้าประจำการแทน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ทุกๆ เดือน แต่ละคนจะต้องพร้อมต่อการเสียสละและรับผิดชอบสูง รวมทั้งสามารถที่จะถูกเรียกเข้ามาปฏิบัติการได้ทุกเวลาในรอบ ๒๔ ชั่วโมงของแต่ละวัน และแล้วชั่วเวลาไม่นานต่อมานัก ก็เกิดคณะการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินขึ้นมา มีการเปลี่ยนแปลงอะไรต่ออะไรหลายๆ อย่าง มีใครหรือคณะใดก็ไม่ทราบ ไปเสนอแนะรัฐบาลยุคนั้นว่า ตำรวจมีหน้าที่เพียงการปราบปรามผู้ร้ายสามัญธรรมดา ถ้าเป็นผู้ร้ายหรือผู้ก่อการร้ายระดับโลก ควรจะเป็นหน้าที่ของทหาร และหน่วยสวาทนั้นมีประสิทธิภาพมาก มีอาวุธชั้นดีพร้อมทั้งการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ แต่ไฉนจึงให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบควบคุมของตำรวจ จึงขอให้ราชการทหาร เรียกอาวุธประจำตัวที่ใช้ในหน่วยนี้ อันจัดว่าเป็นอาวุธสงครามพิเศษโดยตรง มาเป็นของทหารเสีย หน่วยสวาทจึงถูกยุบและยึดอาวุธไปเป็นของทหาร ต่อมาในสมัยซึ่งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. ๒๕๒๖) ได้เล็งเห็นถึงภัยคุกคามจากต่างประเทศ เช่น ผู้ก่อการร้ายสากล ท่านจึงมีดำริให้กรมตำรวจจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ จึงได้จัดตั้งหน่วย นเรศวร ๒๖๑ และ อรินราช ๒๖ (โดยชื่อมาจาก อริ = ข้าศึก, ศัตรู + อินท = จอม, ผู้เป็นใหญ่ + ราช = พระราชา + ๒๖ = ปีที่ก่อตั้งพ.ศ. ๒๕๒๖) โดยแต่ต่างกันในเขตรับผิดชอบ และต้นสังกัด ปัจจุบัน อรินทราช ๒๖อยู่ในสังกัด กองร้อยที่ ๕ กองกับการ ๒ ป้องกันและปราบปรามจลาจล กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (กก.2 บก.ตปพ.) และขึ้นตรงกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น) หน่วยนี้ปฏิบัติหน้าที่เหมือนหน่วยสวาทเดิมที่ถูกยุบลงไป
อรินทราช 26 เป็นหน่วยตำรวจที่มีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธและยุทธวิธีพิเศษ (Special Weapons And Tactics : S.W.A.T.) มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการพิเศษต่อภัยคุกคามที่เป็นอาชญากรรม และการก่อการร้าย ด้วยการแย่งชิงตัวประกัน การจับกุม ฯลฯ ตามแนว "การบริหารวิกฤตการณ์" (Crisis Management) โดยมีพื้นที่รับผิดชอบในเมืองหลวง และปริมณฑล เป็นหน่วยระดับ กองร้อยมีอุปกรณ์ครบมือ เช่น ปืนยิงแห, ปืนไฟฟ้า, ปืนพก, ปืนลูกซอง, ปืนกลเบา, ปืนไรเฟิล, ระเบิดมือ, อุปกรณ์ต่อต้านการจลาจล ฯลฯ มีภารกิจ ยกตัวอย่างเช่น
ช่วยเหลือตัวประกัน ควบคุมการก่อจลาจล ปราบปรามอาชญากรรม ต่อต้านการก่อการร้าย ให้ความปลอดภัยบุคคลสำคัญ เพิ่มการรักษาความปลอดภัยในจุดสำคัญ ในเวลาปกติ และเมื่อ
ส่วนการฝึกนั้น แรกทีเดียวหน่วยอรินทราช ๒๖ รับผู้ที่เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ หรืออาสาสมัครตำรวจ การฝึกในครั้งแรกไม่มีรูปแบบที่แน่นอน โดยได้รับการสนับสนุนครูฝึกจาก ตร. และยึดรูปแบบการปฏิบัติการเป็นทีม ๕ คน เหมือนหน่วยปฏิบัติการพิเศษ GSG 9 ของประเทศเยอรมนี มีการฝึกการยิงปืนทางยุทธวิธี การฝึกพลแม่นปืน การปฏิบัติการทางน้ำ การต่อสู้ป้องกันตัว การขับขี่ยานพาหนะในรูปแบบต่างๆ เมื่อการฝึกรุ่นแรกสำเร็จ ก็มีการถ่ายทอดให้กับกำลังพลที่เข้าประจำการในกองร้อยปฏิบัติการพิเศษเรื่อยมา อีกทั้งมีการจัดส่งกำลังพลไปฝึกในหลักสูตรต่างๆ ของต่างประเทศและนำวิชาความรู้กลับมาถ่ายทอดให้กับกำลังพลที่อยู่ในหน่วย โดยจะทำการฝึกกันเองถ่ายทอดกันต่อๆ มา และได้มีการจัดแบ่งหลักสูตร ออกเป็น ๕ หลักสูตร คือ
๑. หลักสูตรการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ๒๔ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุใหม่
๒. หลักสูตรทบทวนการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ๖ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่ประจำการอยู่ในหน่วย และฝึกทดสอบแผนปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ๑ สัปดาห์
๓. หลักสูตรการทำลายระเบิด ๑๒ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุในตำแหน่ง "พลเก็บกู้ทำลายระเบิด"
๔. หลักสูตรพลแม่นปืน ๔ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุในตำแหน่ง "พลซุ่มยิง"
๕. หลักสูตรผู้ชำนาญการอิเล็กทรอนิคส์ ๑๒ สัปดาห์ สำหรับกำลังพลที่บรรจุในตำแหน่ง "ผู้ชำนาญการอิเล็กทรอนิคส์"
นอกจากนี้ยังมีการฝึกต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น "แผนกรกฏ ๔๘" การฝึกในสถานการณ์สมมุติ และการฝึกร่วมกับหน่วยงานอื่น
ในการแต่งกายจะไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าได้ ที่ชุดบริเวณไหล่ซ้าย มีอาร์มสีบานเย็น รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ตรงกลางมีรูปอักขระยันต์ มีตัวหนังสือบอกหน่วยสังกัดว่า "ตำรวจนครบาล ปฏิบัติการพิเศษ" นั่นคือ "ตำรวจ 191" เนื้ออาร์มมีคำว่า "อรินทราช ๒๖" บริเวณหน้าอก มีรูปโล่อยู่ตรงกลาง พื้นโล่สีดำแดง กลางโล่มีสายฟ้าสีขาว มีดอกชัยพฤกษ์สีทองพุ่งเข้าหาโล่จากด้านข้าง ข้างละ ๖ ดอก สีพื้นของชุดจะเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีสำหรับหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยชุดแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่
๑. ชุดทำงานปกติ สามารถเห็นได้ทั่วไปตามจุดสำคัญ
๒. ชุดเวสสีน้ำเงิน ใช้สำหรับฝึกและเตรียมพร้อมก่อนปฏิบัติงาน
๓. ชุดเวสพร้อมอุปกรณ์ โดยจะมีอุปกรณ์ครบมือ ตั้งแต่หมวกกันกระสุน, เสื้อกันกระสุน, อาวุธอื่นๆ ที่เพิ่มเข้า
๔. ชุดปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย โดยชุดนี้จะเหมือนแบบที่ ๓ เว้นแต่สีชุดที่เป็นสีดำ จะใส่ชุดนี้เมื่อต้องทำงานกับหน่วยงานอื่น (การสนธิกำลัง)
อาวุธประจำกายในหน่วยงานราชการมีการเปลี่ยนแปลงแทนที่ยุทธภัณฑ์อยู่เสมอ สำหรับปืนสั้น เคยมีการใช้ Browning ปัจจุบันมีการใช้ Glock 19 และ HK P7M8 ส่วนอาวุธประจำกายคือ MP5 สำหรับบางคนจะใช้ปืนไรเฟิล หรือปืนลูกซองแทน ในการปราบจลาจลอาจมีการใช้โล่ และกระบอง หรือใช้กระสุนซ้อมมาแทนที่
หมายเหตุ : ข้อมูลจากหนังสือ GUNS&TACTICS โดย ฉัตรชัย
วิเศษสุวรรณภูมิ (เมื่อ”สวาท” วาย) และสารานุกรมวีกีเพียเดีย