ประวัติ BMX

 

 

 BMX ประวัติ BMX Freestyle
เขียนโดย นายศิริประเสริฐ แซ่เตีย(B)
กว่าจะมาเป็น "Bike Stunt" ในทุกวันนี้ กีฬา Bike Stunt หรือจักรยานผาดโผน เป็นหนึ่งในกีฬา X-Games
ที่มีประวัติถอยหลังไปยาวนานไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
ในยุค'70 การแข่งขันจักรยานวิบากแบบBMX(Bicycle Moto
Cross)ที่มีวงล้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นิ้วในประเภท
ความเร็ว(Racing) ได้เป็นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกา
และได้แพร่ขยายไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน นักขี่หลายๆคนได้ฝึกท่าทางพลิกแพลงผาดโผนในแบบต่างๆ
เพื่อความสนุกสนาน และใช้โชว์ออฟ
กันในกลุ่มเพื่อนๆ ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะในการควบคุมรถได้อย่างดี
และเมื่อมีโอกาส ก็มักจะได้นำท่านั้นมาออกโชว์กันในช่วง
พักของการแข่งความเร็ว หรือในการโปรโมทให้กับสปอนเซอร์ของตน
ซึ่งจะเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีทีเดียว ต่อมาเมื่อ
มีท่าทางหลากหลายมากขึ้น
นักขี่หลายๆคนได้หันมาเน้นฝึกแต่ท่าพลิกแพลง(Tricks)ด้วยความหลงไหล
จนกระทั่งได้กลายกีฬา
ประเภทใหม่ที่เน้นฝึกเฉพาะแต่ท่าผาดโผนอย่างเดียว
และได้พัฒนาเหล่านี้ให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในยุคนั้น ท่ายังไม่มีมากนัก
จึงมีการคิดค้นลีลาต่างๆออกมาใหม่ตลอดเวลา นักขี่แต่ละคนจะมีท่าเป็นของตนเอง
ไม่ค่อยจะซ้ำกันนัก นักขี่กลุ่มนี้จึงถูกขนานนามว่า "Freestyler"
และได้เริ่มมีการจัดการแข่งขันเฉพาะทางขึ้น นักขี่ที่มีชื่อที่สุด
คนนึงในช่วงนั้น คือ Bob Haro ซึ่งถือได้ว่าเป็น "Father of Freestyle"
(ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทจักรยานที่ประสพ
ความสำเร็จมากที่สุดบริษัทหนึ่ง)
ในราวปี 1985 เป็นต้นมา ทางบริษัทผู้ผลิตจักรยานหลายๆราย
ได้มีการผลิตอะหลั่ยที่ทำไว้สำหรับการเล่นท่าFreestyle
โดยเฉพาะ(ได้แก่ตัวถังที่มีที่ยืนตรงหลักอาน, ที่ยืนตรงแฮนด์,
ที่ยืนตรงแกนล้อและตะเกียบฯลฯ) การจัดแข่งขันเริ่มมีมากขึ้น
มีการรวมตัวนักขี่ผาดโผนจัดตั้งเป็นทีมFreestyle อย่างเต็มรูปแบบ
ในช่วงนี้เองที่สมาคม AFA(American Freestyle Association)
ได้เข้ามาผูกขาดในการจัดแข่งขันครั้งใหญ่ๆ
นักขี่เอือมกับกติกาหยุมหยิม เช่น Flatland ก็ให้ใส่หมวกกันน็อค
และกรรมการเป็นคนธรรมดา ไม่รู้จักการให้คะแนน
โดยเฉพาะท่ายากๆหรือ ท่าใหม่ๆ แบนนักขี่ที่ไปแข่งงานอื่น ,
จัดแบ่งรุ่น(Class)ละเอียดยิบ ซึ่งนอกจากจะแบ่งตามรุ่นอายุ
ยังมีรุ่นสมัครเล่น(Amateur) และรุ่นมืออาชีพ(Pro) ซึ่งนักขี่จะลงได้หลายรุ่น
ปัญหาจึงอยู่ที่คนที่มีฝีมือดียังไม่ยอมTurn Pro
ง่ายๆเพราะยังหวงตำแหน่งอยู่
ต่อมาเมื่อเริ่มเข้าปี 90 AFA ยกเลิกการจัดแข่ง
ทำให้วงการเงียบเหงาไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้ Mat Hoffman ซึ่งเป็นนักขี่
ได้ริ่เริ่มจัดงานแข่งขึ้นเองชื่อ Bike Stunt Series หรือ BS
ซึ่งเป็นการปลุกผีวงการ ขึ้นมาอีกครั้ง และได้ประสพความสำเร็จ
อย่างสูง จนกระทั่ง ESPN ช่องกีฬายักษ์ใหญ่ ได้มาติดต่อขอซื้อรายการต่อ
และจัดให้มีการนำภาพจากการแข่งไปออกอากาศ
ทั่วโลก และต่อมาได้รวบรวมกีฬาสุดขั้วหรือ Extreme Sports เข้าไว้ด้วยกัน
ภายใต้ชื่อ X-Games ซึ่งจัดกันเป็นประจำทุก
ปีที่ Sanfrancisco ล่าสุดปี2001 จะย้ายไปจัดกันที่ Philadephia
Flatland หาย Mat ช่วย? หลังจาก Take over งานแข่งไป ในครั้งแรกๆ
ก็มีปัญหาเหมือนกัน คือ ESPN ยังให้ Hoffman bikes
เป็นผู้จัดการแข่ง แต่จัดให้มีเงินรางวัลในการแข่งขันเพียง 2 ก้อน คือ Vert กับ
Park
ไม่สนับสนุนการแข่ง Flatland ซึ่งดูไม่หวือหวา Mat
เลยตัดสินใจหารเงินรางวัลนั้นเป็น 3 ส่วน เพื่อให้มีการแข่ง Flatland ด้วย
นับเป็นการตัดสินใจที่ชี้ชะตาวงการไว้ครั้งหนึ่ง
สำหรับประเภทของการแข่ง Bike Stunt
ในทุกวันนี้แบ่งออกโดยรูปแบบของสนามที่ต่างกันออกไป
Dirt การกระโดดเนินดิน เกิดและไปพร้อมBMX
ปัจจุบันจะมีแข่งพ่วงไปด้วยเกือบทุกสนาม เป็นสีสันของงานแข่ง Racingด้วย
Flatland การเล่นท่าทางบนพื้นเรียบ มีแต่คนกับจักรยาน ลีลาเทียบได้กับยิมนาสติค
Floor Excercise นักขี่จะต้องนำท่าทางมา
ต่อเนื่องกันให้มีความลื่นไหล สวยงาม โดยผิดพลาดน้อยที่สุด
Park สนามมีอุปกรณ์ต่างๆที่จำลองขึ้นจากการขี่ตามท้องถนน เช่นมีขอบกระถางสูงๆ
มีราวบันได เนินลาด เนินโค้ง
เก้าอี้ยาว ทางต่างระดับ อัดกันไว้ในสนามเดียว
นักขี่จะต้องใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ที่กำหนดให้
Vert-Halfpipe เนินโค้งขนาดใหญ่ที่มีส่วนสูงตั้งแต่ 8-12 ฟุต หรือกว่านั้น
มีส่วนปลายชันถึง 90 องศา 3-4 ฟุต นักกีฬาจะ
ใช้ส่งตัวเองให้ลอยขึ้นไปเล่นท่ากลางอากาศ ได้สูงตั้งแต่ 6-10 ฟุต
และเลี้ยวกลับลงมา ถ้ามี 2 ข้างหันหน้าชนกัน จะมีลักษณะ
เหมือนท่อครึ่งวงกลม (Halfpipe)
ส่วนกีฬา Bike Stunt บ้านเรานั้น กระแสมักจะช้ากว่าเขาสักหน่อย
มีเล่นกันมาในช่วงที่นิยม Racing เมื่อเกือบ20ปีก่อน
แล้วก็ซาไปพร้อมๆกับ Racing มาโผล่อีกทีเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยตามสนามกีฬา
กลุ่มละ 6-7 คน งานแข่งที่สวนอัมพร เมื่อปี2533
เป็นครั้งที่บูมสุดก่อนจะซาไปอีก 7 ปี ช่วงนี้แม้แต่จะหาอะหลั่ยสักชิ้นยังยาก
เพราะร้านจักรยานได้เปลี่ยนไปขายMountain bike กันหมด
แล้วกลับมาฟื้นอีกทีตอนช่วงกระแส X-Games เข้ามาบ้านเรา
อย่างไรก็ตามถ้ามีการจัด X-Tour ทุกปี และงานแข่งย่อยๆอื่นเฉลี่ยปีละ3
ครั้ง ก็เป็นเรื่องปกติ ปัจจุบันปี 2001 มีคนลงแข่งในงาน X-Tour ประเภท
Flatland และ Park รุ่นละเกือบ30คน ซึ่งนับว่ามากที่สุด
ที่เคยมีมา แต่ก็ยังมาลงแข่งกันไม่หมด
Credit: tawanluck
#bmx
siam killer
ช่างเทคนิค
24 ม.ค. 53 เวลา 12:07 2,200 8 50
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...