Window เป็นระบบปฏิบัติการแบบ GUI ของ Microsoft ซึ่งแsต่ก่อนนี้มี MS-DOS เป็นแบบ Command Line ซึ่ง Windows ก็ได้พัฒนามาเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก Windows 1.0 ที่ยังเป็นแบบ 16-bit ทำงานบน DOS อยู่ จนทุกวันนี้ก็ได้ออก Windows 7 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดออกมา มาดูกันว่า Windows แต่ละรุ่นของ Microsoft นั้น มีพัฒนาการความเป็นมายังไงบ้าง
Windows 1.0
Windows 1.0 เป็น OS แบบ 16 bit ที่มี GUI ตัวแรกของ Microsoft โดยออกวางขายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 วางขายในรูปแบบของ Floppy Disk โดยผู้ใช้ต้องลง DOS ก่อน แล้วถึงลง Windows 1.0 ตามอีกที สามารถรันโปรแกรมของ DOS แบบ Multitasking ได้โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง ต้องการ Ram ขั้นต่ำ 384 KB (แนะนำ 512 KB) Windows 1.0 มี Shell ชื่อ MS-DOS Executive โปรแกรมที่มาพร้อมกับ OS ก็มีพวก Calculator, Calendar, Cardfile, Clipboard viewer, Clock, Control Panel, Notepad, Paint,Reversi, Terminal, และ Write
Windows 2.0
Windows 2.0 ก็ยังเป็น 16 bit อยู่ ออกมาในปี 1988 แถมมากับคอมพิวเตอร์ของ AT&T ในฐานะของโปรแกรมทดสอบสำหรับสถานศึกษา Windows 2.0 เริ่มมีระบบ Plug&Play แล้ว สิ่งที่พัฒนาจาก Windows 1.0 คือสามารถลาก Application ที่รันอยู่ไปวางซ้อนกันได้ มี Keyboard Shortcut และมีปุ่ม Minimize/Maximize หน้าต่าง
Windows 3.0
Windows 3.0 ออกมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 1990 เป็น Windows รุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง และสามารถฟาดฟันกับ OS เจ้าถิ่นในสมัยนั้นอย่าง Apple Macintosh ได้ Windows 3.0 มี Protected/Enhanced mode เพื่อให้ Applicaton ของ Windows สามารถใช้ Memory เยอะได้ได้มากกว่าที่ DOS จัดมาให้ (ยังรันบน DOS อยู่)
Windows 3.1X
เชื่อว่าหลายคนคงเคยใช้ กัน (ผมก็เคยใช้นะตัวนี้) Windows 3.1X ออกมาสานต่อความสำเร็จของ Windows 3.0 โดยออกมาในเดือนมีนาคม 1992 Windows 3.1X ออกแบบมาโดยใช้โทนสีชื่อ Hotdog Sand ซึ่งประกอบด้วยสีหลักๆ คือ แดง เหลือง ดำ เพื่อช่วยให้คนที่ตาบอดสีในระดับหนึ่งสามารถมองตัวอักษร,ภาพ ได้สะดวกขึ้น Windows for Workgroups 3.1 ออกมาในเดือนตุลาคม 1992 โดยเพิ่มเติมในส่วนของการสนับสนุนระบบเครือข่าย
Windows 3.11 NT
Windows 3.11 NT เป็น Windows ตัวแรกของสาย NT โดยเน้นในทาง Server กับทางธุรกิจ ออกมาในวันที่ 27 กรกฎาคม 1993 โดยมีออกมาด้วยกัน 2 รุ่นคือ Windows NT 3.1 กับ Windows NT Advanced Server ซึ่ง Windows 3.11 NT นี้มีระบบความปลอดภัยในการรัน Application ที่เข้มงวดขึ้น โปรแกรมไหนที่ติดต่อกับ Hardware โดยตรง หรือยังใช้ Driver ของระดับ DOS อยู่ จะไม่อนุญาตให้รัน ทำให้ระบบมีความเสถียรขึ้นกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม Win32 ซึ่งเป็น API แบบ 32 bit
Windows 95
เป็น OS ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ Microsoft ออกมาในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 เริ่มแยกตัวออกจาก DOS แล้ว (ยังมีหลงเหลือการใช้งาน Code บางส่วนจาก DOS อยู่) โดย Microsoft ได้ออก MS-DOS 7.0 ซึ่งเป็น DOS รุ่นปรับปรุงความสามารถเพื่อให้รองรับ Windows ใน Windows 95 นี้มีการปรับปรุง User Interface เป็นแบบใหม่ โดยแทบจะไม่เหลือสิ่งเดิมๆ ที่เคยมาจาก Windows รุ่นก่อนๆ ซึ่งสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาก็ได้แก่ Taskbar, Start button ,Start menu, และมี Windows Explorer เอาไว้จัดการไฟล์ Windows 95 รองรับการตั้งชื่อไฟล์ได้สูงสุด 255 ตัวอักษร รวมนามสกุล (ใน Windows รุ่นก่อนๆ ตั้งชื่อไฟล์ในระบบ 8.3 คือชื่อไฟล์ 8 ตัว นามสกุลอีก 3 ตัว ซึ่งเป็นข้อจำกัดมาจาก DOS) มีการทำงานแบบ 32 bit Multitasking
Windows 98
ออกมาในวันที่ 24 มิถุนายน 1998 เอา Interface แบบ Web มายัดใส่ใน Windows และยัดเยียด Internet Explorer 4 มาให้พร้อม โดยตอนแรกกะจะให้มาแทน Windows 95 แต่ไปๆ มาๆ Windows 98 รุ่นแรกกลับมีปัญหามาก การใช้งานก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แถมตอนงานเปิดตัวก็ดันไปขึ้นจอฟ้าโชว์สาธาณชนอีกต่างหาก งานนี้เลยต้องออก Windows 98 SE (Second Edition) ออกมาแก้ตัวในวันที่ 5 พฤษภาคม 1999 โดยแก้บั๊ก และปรับปรุงประสิทธิภาพ เพิ่มเติมการรองรับ USB และอัพเกรด IE เป็นรุ่น 5.0
Windows 2000
Windows 2000 พัฒนาจาก Windows NT 4 ตอนแรกใช้ชื่อ Windows NT 5 แต่ด้วยกระแสปี 2000 ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น Windows 2000 โดยวางเป้าหมายไว้ที่กลุ่มผู้ใช้ด้วนธุรกิจ,Notebook,และ Server โดยออกวางขายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2000 มีออกมาทั้งหมด 4 รุ่น คือ Professional, Server, Advanced Server, และ Datacenter Server และในปี 2001 ก็ออก Windows 2000 Advanced Server Limited Edition และ Windows 2000 Datacenter Server Limited Edition เพื่อมารันบน CPU Intel Itanium ซึ่งเป็น CPU 64-bit โดย Microsoft ตั้งความหวังให้ Windows 2000 เป็น Windows ที่มีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากที่สุด แต่มันกลับตกเป็นเป้าหมายของไวรัสตัวแรงๆ โดยเฉพาะ Nimda กับ Code Red
Windows Millennium Edition (ME)
Windows Millennium Edition พัฒนามาจากสาย Windows 9x โดยตั้งชื่อเกาะกระแสปี 2000 อีกตามเคย เป็น OS ลูกผสม 16-bit/32-bit ออกวางขาย 14 กันยายน 2000 โดยมาพร้อมกับ Internet Explorer 5.5, Windows Media Player 7, และ Windows Movie Maker (มี System Restore ด้วย) โดยปรับปรุง User Interface ให้ดูคล้ายๆ Windows 2000 ซึ่งผลตอบรับของ Windows ME คือถูกด่าแหลกราญ ทั้งเรื่องบั๊กมากมายมหาศาล และการที่มันแทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมจาก Windows 98 SE เลย นอกจาก Interface กับโปรแกรมใหม่ๆ (ซึ่งตอนนั้น IE 5.5 กับ WMP7 ก็ดาวน์โหลดได้ฟรีๆ จากเว็บ Microsoft) แถมกระแส Millenium ก็ใกล้จะหายแล้ว (มันออกมาขายช่วงท้ายปี) คนก็เลยไม่รู้ว่ามันจะออกมาทำเพื่ออะไร
Windows XP
เป็นการรวมสายการพัฒนาของ Windows 9x กับ NT เข้าด้วยกัน ออกวางขายวันที่ 25 ตุลาคม 2001 ถ้านับตั้งแต่วันที่วางขายถึงตอนเดือนมกราคมปี 2006 ก็ขายได้มากกว่า 400 ล้านชุดแล้ว (ไม่รวมของเถื่อนอีก) ได้รับความนิยมสูงมาก และครองตลาดอยู่นานมากๆ จนเรียกได้ว่า OS ของคอมส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็น Windows XP โดย Windows XP นั้นเน้นการใช้งานส่วนบุคคล ชื่อ XP มาจากคำว่า Experience ซึ่งหมายถึง ประสปการณ์ โดย Microsoft บอกว่า ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการใช้ Windows XP ซึ่งคำพูดนี้เป็นจริงแค่ไหน เราทุกคนคงรู้กันดี Windows XP ออกมาแทนที่ Windows 2000 กับ Windows ME ได้สมบูรณ์ภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งตอนแรกๆ ก็มีคำตำหนิเรื่องการทำงานอยู่บ้าง แต่หลังจากออก Service Pack 2 ในปี 2004 ที่เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยเข้ามา มันก็กลายเป็น OS ที่ครองตลาด PC ไปเลย Windows XP มีออกมา 2 รุ่น คือ Windows XP Home กับ Windows XP Professional และมี Windows XP Media Center ตามออกมาทีหลังโดยเน้นความบันเทิงเป็นหลัก
การเปลี่ยนแปลงของ Windows XP ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็เป็นเรื่องของ User Interface โดยเปลี่ยนจากแบบเหลี่ยมๆ เทาๆ มันเป็นแบบหน้ามน มีสีสันสดใส รวมทั้ง Icon ต่างๆ ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ แสดงสีสันได้มากขึ้น มาพร้อมกับ Internet Explorer 6 ที่ไม่มีวันตาย Windows Media Player 8 (อัพเป็น 9 ใน SP2)
Windows Vista
แต่เดิมใช้ชื่อว่า Longhorn มีการพัฒนาอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็ออกมาวางขายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2006 พร้อมกับเสียงก่นด่านับไม่ถ้วน ตั้งแต่เรื่องกินสเปค ทำงานช้า Error บ่อย ไม่ Support โปรแกรมเก่าๆ ฯลฯ ถึงแม้จะมีการออก Service Pack มาแก้ปัญหาถึง 2 ตัว จนมันทำงานได้ดีแล้ว แต่ชื่อ Windows Vista ก็จะถูกจดจำไปอีกนานในฐานะ Windows ที่ล้มเหลวที่สุดของ Microsoft
Windows Vista พัฒนาจาก XP ไปเยอะมาก ทั้งเรื่องระบบความปลอดภัย มีการใส่ User Account Control เข้ามา เพื่อสร้างความปลอดภัย+รำคาญให้กับผู้ใช้ Windows Aero ขอบหน้าต่างใสๆ ปรับปรุง+เพิ่มโปรแกรมด้าน Multimedia เช่น Windows Media Player 10,Windows DVD Maker ปรับปรุงระบบ API ใส่ .NET 3.0 มาให้ด้วยเลย และด้าน Network ก็มาพร้อมกับ Internet Explorer 7 ที่ไม่มีใครอยากใช้
Windows 7
จากความล้มเหลวใน Vista ทำให้ Microsoft แก้ตัวใหม่ โดยรื้อระบบใหม่เยอะมากๆ ปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้ดีขึ้นไปอีก กินแรมน้อยลงกว่า Vista มาก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของ Windows 7 คือ Taskbar แบบใหม่ ที่เรียกว่า Superbar นอกนั้นก็เป็นการเพิ่มความสามารถใหม่เข้ามา รวมถึงปรับปรุงโปรแกรมเก่าๆ ที่อยู่คู่กับ Windows มาช้านาน เช่น Paint,Wordpad,Calculator โดย Windows 7 ได้รับคำชมจากผู้ใช้มา ตั้งแต่ออกตัว Beta มาแล้ว และหลังจากออกตัว RC 1 มาให้ใช้กันฟรี ๆ ถึง 1 ปี Windows 7 ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่ออกวางจำหน่ายในวันที่ 29 ตุลาคม 2009 โดยคาดว่าในอีกไม่นาน Windows 7 จะมาเป็น OS หลักสำหรับ PC แทนที่ Windows XP ที่จะมีอายุครบ 10 ปี ในปีหน้า
ขอขอบคุณ : ท่าน Bigta-GS ที่อนุญาตให้เผยแพร่บทความนี้ครับ
ต้นฉบับบทความ : Pantip.com