โลกหมุนเร็ว เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยี มติชนสุดสัปดาห์ 13 ก.ค.2555
ผู้เขียนมักจะเป็นคนท้ายๆ ที่ไขว่คว้าหาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้กะเขา ขนาดเป็นแบบนี้ก็ยังปรากฏว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ซื้อมาไว้อยู่มากมาย หลายอันซื้อมาแล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้ รู้สึกว่าใช้แล้วยุ่งยาก บ้างก็ใช้ผิดใช้ถูก แล้วก็เลยไม่ได้ใช้ไปเลย
บางครั้งผู้เขียนก็รอจนคนอื่นเขามีกันหมดแล้วนั่นแหละ จึงจะถึงคิวเราซื้อบ้าง
ตัวเลขจำนวนเครื่องใช้เพื่อการสื่อสารในยุคใหม่ เป็นเรื่องน่าตกใจ มีผลงานวิจัยบอกว่ามันมีมากกว่าจำนวนประชากรเสียอีก
หรือตัวเลขคนที่ใช้เฟซบุ๊กในเมืองไทยที่ติดอันดับหนึ่งของโลกก็น่าตกใจไม่แพ้กัน เดี๋ยวจะกลับมาต่อกันเรื่องนี้
เวลานี้ คนไทยมีสมาร์ทโฟนใช้กันเกร่อแล้ว อัตราการเปลี่ยนจากมือถือธรรมดามาเป็นสมาร์ทโฟนก็มีถี่ขึ้นๆ แต่ผู้เขียนก็เพิ่งคิดว่า อืมม์ คงต้องมีกับเขาบ้างแล้ว เพราะจะได้เข้าอีเมลได้เวลามีอะไรเร่งด่วน หรือจะได้ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและทองคำบ้าง
เมื่อสักครู่หาความรู้จากเด็กรุ่นใหม่ที่พอมีเงินเดือนระดับหนึ่งก็ต้องมีสมาร์ทโฟนกันเกือบจะทุกคน ถามว่า "เขามีสมาร์ทโฟนไว้ใช้ทำอะไร" และแล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อเด็กตอบว่า "เขาไว้เล่นเฟซบุ๊กกันอ่ะค่ะ" "นอกจากนั้น ก็ไว้ถ่ายรูป"
มิน่าล่ะ เมืองไทยถึงติดอันดับเล่นเฟซบุ๊กมากที่สุดในโลก และอัตราการใช้อินสตาแกรมก็ถี่ขึ้นทุกวัน
และยังเลือกที่จะใช้สมาร์ทโฟนเล่นของพวกนี้กันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้แท็บเล็ต
เป็นอันว่าเดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนไม่ได้ใช้ในการโทรศัพท์ แต่ใช้เล่นเฟซบุ๊ก เช็กเมล เข้าเว็บ และถ่ายรูปจนเราคิดว่ามันไม่น่าจะเรียกว่า "สมาร์ทโฟน" แล้วนะ แต่น่าจะเรียกว่า "อุปกรณ์สื่อสารประจำตัว" อะไรแบบนี้มากกว่า
เช่น เมื่อวานนี้ มีงานพบปะสังสรรค์ เพื่อนก็ยก สมาร์ทโฟน ขึ้นมาถ่ายรูปให้ แล้วก็ส่งอีเมลมาให้ ชัดแจ๋วแหวว ก็สมาร์ทโฟนของเธอนั้นน่ะมีกล้องถ่ายรูปตั้ง 5 ล้านพิกเซล เท่ากับกล้องถ่ายรูปดิจิตอลเลย
อันที่จริง เมื่อมองจากผู้ผลิต การเพิ่มการใช้งานให้กับโทรศัพท์มือถือ ก็เกิดจากการค้นคว้าวิจัยที่พบว่า คนเราต้องการสื่อสารด้วยข้อความและภาพมากขึ้น ภาษาของผู้ผลิตเรียกว่า data จึงเพิ่มการใช้งานมือถือให้รับส่งอีเมลได้ ถ่ายภาพและส่งภาพได้
ดังนั้น การที่ผู้เขียนคิดว่า ถึงเวลาต้องมีสมาร์ทโฟนบ้างแล้ว ก็เป็นเพราะต้องใช้งานเรื่องการสื่อสารด้วยภาพและข้อความนี่แหละ
คนทำงานในภาคธุรกิจ จำเป็นต้องใช้แล็บทอป เพราะต้องหิ้วไปใช้นำเสนองาน เมื่อก่อนนี้ถ้าจะใช้อีเมล ก็มีเซิร์ฟเวอร์ ของบริษัท หรือไม่ก็มีสายแลน ต่อมาเมื่อออกนอกสำนักงานก็เข้าอีเมลด้วยไวไฟ
ต่อมาสมาร์ทโฟนก็แซงหน้า ใช้เช็คอีเมลได้ เมื่อเป็นอย่างนี้จะหิ้วแล็บทอปให้เกะกะทำไม ก็ซื้อสมาร์ทโฟนมาใช้สิ มันท่องเว็บก็ได้ ส่งอีเมลก็ได้ ถ่ายรูปเหตุการณ์หรือผลิตภัณฑ์ส่งไปให้ลูกค้าก็ได้ทันท่วงที
คนก็เลยโยนแล็บทอปที่เกะกะทิ้ง และหันมาใช้สมาร์ทโฟนแทน
จึงทำให้ยอดขายสมาร์ทโฟนขึ้นลิ่ว และยอดขายโฟนที่ไม่สมาร์ทตกลงไป กลายเป็นพวก low end ใช้กัน
สถิติจากประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายน 2555 บอกว่าขณะนี้ยอดจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่เป็นผู้ใหญ่มีถึง 45% ของจำนวนประชากร ครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้จะใช้อินเตอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟน
เมื่อถามผู้ใช้สมาร์ทโฟนโดยให้เปรียบเทียบกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆ ก็ปรากฏว่าหนึ่งในสามบอกว่าเขาเข้าเว็บด้วยสมาร์ทโฟนมากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์พีซี แล็บทอป และแท็บเล็ตนั่นเอง
เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว เพราะสมาร์ทโฟนนั้นพกพาสะดวก ติดมือติดไม้ไปได้ตลอดเวลา
ปัจจุบันนี้คนที่ไม่ได้ทำงานประจำซึ่งต้องใช้คอมพิวเตอร์พีซีหรือแล็บทอป และอาจจะไม่เคยมีคอมพิวเตอร์พีซีหรือแล็บทอปที่บ้านเลย ก็ยังกระโดดข้ามขั้นไปซื้อสมาร์ทโฟนมาใช้เลย
คนที่กระโดดข้ามขั้นนี้มีร้อยละ 10 ในอเมริกา
ถ้าเป็นคนไทย เหตุผลหนึ่งก็คือ มันเทียมหน้าเทียมตาคนอื่น ซื้อมาไว้เล่นเฟซบุ๊กสนุกๆ ถ่ายรูปเพลินๆ เท่านี้ก็เป็นเหตุผลที่พอเพียง
สิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกาอาจจะไม่ได้แตกต่างจากในไทยนักก็ได้
และเมื่อมาถึงอายุคนที่ใช้สมาร์ทโฟนท่องเว็บ กลุ่มที่เติบโตที่สุดคือที่อายุ 25-34 ถัดมาก็เป็นกลุ่มคนอายุ 35-44
พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือพฤติกรรมการชมทีวี
ตัวเลขล่าสุดของสหรัฐอเมริการะบุว่าปัจจุบันนี้คนร้อยละ 70 ดูทีวีจากอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ทีวี แต่เป็นจอคอมพิวเตอร์
เมื่อปีที่แล้ว อัตราคนที่ดูทีวีจากแท็บเล็ตมีมากขึ้นถึงสองเท่าตัวในอเมริกา
ผู้ผลิตทีวีต้องขยับตัวกันแล้ว ก่อนจะสายเกินแก้ ยอดขายหายไปแบบไม่ทันรู้ตัว
เพราะยิ่งนับวันคนก็ต้องการจะมี "ของชิ้นเดียว" ใช้ได้สารพัดประโยชน์
และเมื่อพูดถึง "ของชิ้นเดียว" นี้ จากการสำรวจในสามเดือนแรกของปีนี้คนอเมริกันสองในสามก็จะมีอุปกรณ์เคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตกัน
แต่ถึงแม้ผู้ผลิตจะพยายามทำให้ "ของชิ้นเดียว" ใช้ได้สารพัดประโยชน์ คนก็ยังไม่วายซื้อมากกว่าหนึ่งชิ้น
ร้อยละ 70 ของคนอเมริกันมีมากกว่าหนึ่งชิ้น นั่นก็คือหนึ่งสมาร์ทโฟนกับหนึ่งแท็บเล็ต
คงจะเป็นเพราะคนเขามีกันทั้งสองอย่างนี่นะ แต่ถ้าถามเหตุผล ก็แถไปได้ว่า เพราะสมาร์ทโฟนไม่มีไอ้นั่น แท็บเล็ตไม่มีไอ้นี่ ต้องมีทั้งสองถึงจะครบ อะไรทำนองนี้
ก่อนจบขอเม้าธ์เรื่องที่ได้ฟังมาจากรุ่นเด็กๆ ที่เล่นเฟซบุ๊กกัน ถึงเหตุการณ์ที่บอกพฤติกรรมการใช้เฟซบุ๊กแบบคนไทย
เขาเล่าว่ามีเฟซบุ๊กของออสเตรเลียรณรงค์ให้คนในออสเตรเลีย "รับเลี้ยง" สุนัขจรจัด
คนไทยเข้าไปดู ก็ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าเขาให้แต่คนออสเตรเลีย ก็เลยกด "รับเลี้ยง" กันใหญ่
ร้อนถึงแอดมินของทางโน้นต้องบอกว่า "คนไทยกรุณาอย่ากด รับเลี้ยง นะครับ เพราะทำให้สุนัขตัวนั้นหมดโอกาสจะได้ผู้รับเลี้ยงซึ่งต้องอยู่ในออสเตรเลีย
เท่านั้นแหละชาวไทยก็เป็นฟืนเป็นไฟ รวมหัวกันส่งข่าวไปต่อๆ ว่าเล่นไม่ได้ ให้กด unlike ทางแอดมินก็บอกว่า เล่นได้ กด like ได้ เพราะสุนัขจะได้มีคนบริจาคอาหาร เพียงแต่อย่ากด "รับเลี้ยง"
ในที่สุดก็มีคนไทยแปลอังกฤษเป็นไทยให้คนไทยเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วคนไทยก็ต่างพากันขอโทษทำให้เมลรก
ทางแอดมินเลยบอกไม่ต้องขอโทษแล้วคร้าบเพราะมันรก คนไทยก็โกรธอีก บอกว่าทำไมล่ะ ก็จะขอโทษนี่
ในที่สุดทางแอดมินปวดหัวมากก็เลยบล็อกไม่ให้คนไทยเข้า
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนไทยดังไปทั่วโลก ความเป็นจริงที่ว่าคนไทยใช้เฟซบุ๊กมากที่สุด และงี่เง่ามากที่สุดเลยเป็นที่รู้กันไปทั่วโลก ฉะนี้แล