เดี๋ยวนี้รถรุ่นใหม่แทบทุกรุ่นจะต้องมีไฟตัดหมอก แต่เห็นมีอยู่หลายคน ใช้ไฟตัดหมอกแบบผิดๆ อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรืออาจจะมองว่าเป็นความเท่ ทั้งที่ในความเป็นจริง การเปิดไฟตัดหมอกในเมือง หรือในสภาพการขับรถปกติ ก่อความเดือดร้อนให้เพื่อนร่วมทาง เพราะแสงจะเข้าตารถคันหน้าหรือรถที่แล่นสวนมา
ไฟตัดหมอกไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด มีมานานมากแล้ว โดยเฉพาะประเทศเมืองหนาว หรือประเทศที่มีภูเขาค่อนข้างมาก โดยเจ้าไฟตัดหมอกนี้จะเป็นดวงไฟชุดที่ 2 จะช่วยให้ความสว่างยามที่ทัศนวิสัยการขับขี่ไม่เอื้ออำนวยนัก
ชุดไฟตัดหมอก โดยมากก็คือสปอตไลต์ย่อส่วน มาพร้อมกับดวงไฟขนาดไม่ใหญ่โตนักขนาด 55 วัตต์ แต่ก็ทะลุทะลวงเอาเรื่อง ด้วยหลอดไฟแบบเดียวกับสปอตไลต์ จะกระจายแสงในระนาบแนวกว้าง ทำให้สามารถเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ได้อีก แม้จะไม่มากมายแต่ก็สามารถให้มองเห็นทางได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นที่สังเกตของรถที่สวนมา หรือรถที่ตามมาข้างหลัง
การใช้ไฟตัดหมอกแม้มันจะขึ้นชื่อว่าไฟตัดหมอก แต่คุณก็สามารถใช้ได้ โดยเฉพาะในหน้าฝนที่ตกพรำๆ บ่อยเช่นนี้ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ สถานการณ์ที่ควรจะต้องเปิดไฟตัดหมอก ได้แก่
1.เมื่อฝนตก โดยเฉพาะช่วงฝนตกหนัก
2.เมื่อเจอหมอก
3.หลังฝนหยุดในเวลากลางคืน การเห็นเส้นทางที่จะทำได้ชัดเจนจริงๆ ไม่ว่าป้ายบอกทางและเส้นจราจรต่างๆ ช่วยให้คุณขับรถได้ง่ายขึ้น โดยปกติแล้วเมื่อฝนตกจนหยุดแล้ว ถนนจะยังเปียกชื้น แม้เราเปิดไฟใหญ่ไป แต่ก็จะพบว่ามันไม่ค่อยสว่างนัก ไฟตัดหมอกจะขจัดปัญหานี้ และช่วยลดการสะท้อนของน้ำที่ผิวถนนไปด้วยในตัว
4.ขับผ่านกลุ่มควัน
ไฟตัดหมอกที่ถูกต้องจริงๆ แล้วควรปิดเมื่อพบว่ามีรถสวนมาข้างหน้าในยามค่ำคืน โดยเฉพาะถนน 2 เลนสวนกัน
จงจำไว้ว่าไฟตัดหมอกไม่ใช่แฟชั่น ไม่ควรใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เพราะนอกจากจะแสดงถึงมารยาทที่ไม่ดีแล้ว อาจเจอข้อหาเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีสาเหตุ มีโทษสูงสุดปรับ 500 บาท