ดินแดนบนทวีปอเมริกาเหนือนอกจากสหรัฐอเมริกาที่ตั้งอยู่ตอนบนแล้ว ซีกล่างคือ เม็กซิโก ประเทศที่คนไทยได้ยินชื่อเสียงมานานจากภาพยนตร์ที่มักชวนให้นึกถึงทะเลทรายรายล้อมด้วยต้นกระบองเพชร คาวบอยผิวเข้ม สวมเสื้อกั๊ก กางเกงยีนส์กับหมวกปีกกว้าง เหน็บปืนที่เอว กระโดดลงจากหลังม้าก่อนชักปืนมาดวลกันกลางแดดเปรี้ยงและฝุ่นตลบ
แต่น้อยคนนักจะได้มีโอกาสไปเยือนและรู้จักประเทศแห่งนี้อย่างแท้จริง ด้วยเพราะระยะทางที่แสนไกล
เม็กซิโกอาจขึ้นชื่อเรื่องอันตรายจากแก๊งมาเฟีย ขบวนการค้ายาเสพติดและการห้ำหั่นกันระหว่างอาชญากรกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ดุเดือดเลือดพล่านดังปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
แต่ความจริงแล้ว ประเทศแห่งนี้ไม่ได้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่คิด หากเต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมและอารยธรรมเก่าแก่ติดอันดับโลกที่สืบทอดมาแต่โบราณกาลจากชนเผ่าพื้นเมืองหลายชนเผ่าที่เคยครอบครองดินแดน อาทิ ชาวโอลเม็ก ชาวมายา ชาวเตโอตีอัวกัน ชาวตอลเต็ก และชาวแอสเต็ก
เมื่อมีโอกาสข้ามซีกโลกไปร่วมชมการแข่งขันหุ่นยนต์โลก เวิลด์ โรโบคัพ 2012 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเม็กซิโก ซิตี เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก กับทีมงานของเอสซีจี ที่สนับสนุนทีมเยาวชนไทยไปแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยและหุ่นยนต์เพื่อนอัจฉริยะ
จึงถือโอกาสท่องเที่ยวชมเมืองเม็กซิโกและเก็บเรื่องราวมาฝาก
เม็กซิโกไม่ได้มีแต่ทะเลทราย ประเทศแห่งนี้ตั้งอยู่ตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา มีเนื้อที่ 2 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 111 ล้านคนจากการเก็บสถิติเมื่อปี 2552 และอยู่บนที่ราบสูง
อากาศเย็นสบาย ภูมิประเทศมีทั้งถ้ำ ภูเขาไฟ น้ำตกและทะเล เคยเป็นเมืองขึ้นของสเปนนานเกือบ 300 ปี จึงซึมซับเอาวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมต่างๆ มาจากเจ้าอาณานิคม ชาวเม็กซิกันใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก ส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้ และนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่รับมาจากสเปน
หลายคนอาจแปลกใจเพราะคิดว่าอียิปต์เท่านั้นที่มีพีระมิด แต่เม็กซิโก ก็มีพีระมิด โดยเป็นอารยธรรมโบราณของชนเผ่ามายาที่รุ่ง เรืองมากด้านดาราศาสตร์และการสร้างปฏิทิน
พีระมิดที่โด่งดังอันดับโลกคือ พีระมิดที่ชิเชนอิตซา ติดหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองแคนคูนไปทางใต้ ทั้ง 4 ด้านของพีระมิดประกอบด้วยขั้นบันได 91 ขั้น เมื่อรวมกับขั้นบนสุด ทำให้ตัวเลขรวมทั้งหมดเป็น 365 ซึ่งเท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปี
ส่วนพีระมิดที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันและอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ซึ่งได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมในครั้งนี้ คือ พีระมิดแห่งพระอาทิตย์ และ พีระมิดแห่งพระจันทร์ ที่เมืองเตโอติอัวกัน หรือเมืองแห่งเทพเจ้า มีอายุร่วม 2,000 ปี สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า โดยเชื่อมต่อกันด้วยถนนแห่งความตาย
ในอดีตใช้ประกอบพิธีแห่แหนหญิงพรหม จรรย์เพื่อนำไปบูชายัญแด่เทพเจ้า เชื่อกันว่าทุกๆ 50 ปีจะมีการสร้างพีระมิดหลังใหม่ครอบพีระมิดหลังเดิมเพื่อให้เข้าใกล้ท้องฟ้าและเทพเจ้ามากขึ้น
ชื่อพีระมิดและชื่อถนนเป็นชื่อที่ชาวแอสเต็กซึ่งเข้ามาครอบครองดินแดนภายหลังตั้งให้หลังจากเมืองถูกทิ้งร้างไปอย่างเป็นปริศนา การสำรวจทางโบราณคดีของ รูเบน คาเบรรา กัสโตร จากสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งเม็กซิโก และ ซาบุโระ ซุงิยามะ จากมหาวิทยาลัยไอจิในญี่ปุ่น พบหลุมฝังศพใต้พีระมิดทั้งสอง ทั้งซากมนุษย์และสัตว์ หลักฐานบ่งชี้ว่าเหยื่อถูกฆ่าเพื่อบวงสรวงในการต่อเติมพีระมิดแต่ละครั้ง
การสังเวยครั้งแรกเกิดขึ้นปีค.ศ.200 เชลยศึกบาดเจ็บถูกฝังทั้งเป็นร่วมกับสัตว์นานาชนิดทั้งสิงโตภูเขา หมาป่า นกอินทรี เหยี่ยว นกฮูก และงูหางกระดิ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังเหนือธรรมชาติและแสนยานุภาพของกองทัพ นอกจากนี้ยังพบสิ่งของอื่นๆ ได้แก่ อาวุธ รูปสลักหิน
สำหรับพีระมิดแห่งพระอาทิตย์เป็นพีระมิดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก สูง 71.2 เมตร ส่วนพีระมิดแห่งพระจันทร์มีขนาดเล็กกว่าแต่สูงพอๆ กัน ผู้ซึ่งทุ่มเทแรงกายไต่บันไดขึ้นไปบนยอด เชื่อว่าจะได้รับพลังจากพระอาทิตย์และพระจันทร์
นอกจากพีระมิด เรายังมีโอกาสไปเที่ยวชมปราสาทโบราณที่ชื่อ คาพัลเตเป็ก ซึ่งแปลว่า บนเนินเขาตั๊กแตน สูงจากระดับน้ำทะเล 2,325 เมตร สร้างขึ้นปีค.ศ.1784 เคยเป็นวังที่ประทับของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนและจักรพรรดินีคาร์โลตา ทั้งยังเคยใช้เป็นทำเนียบประธานาธิบดี โดยช่วงที่สเปนเข้ายึดครองเม็กซิโก ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นที่พักของผู้นำทางทหารของสเปน ต่อมารัฐบาลเม็กซิโกขอซื้อคืนแล้วตกแต่งใหม่
กระทั่งปีค.ศ.1847 สหรัฐอเมริกาบุกยึดกรุงเม็กซิโก ซิตี นาน 10 เดือน และบีบให้รัฐบาลเม็กซิโกยกดินแดนรัฐแคลิฟอร์เนีย นิวเม็กซิโก อริโซน่า เนวาดา และยูทาห์ให้
ช่วงที่อเมริกาบุก ปราสาทแห่งนี้เป็นโรงเรียนเตรียมทหาร นักเรียนเตรียมทหารพยายามต่อสู้กับกองทัพอเมริกา แต่สู้ไม่ไหว นักเรียน 6 คนสุดท้ายจึงตัดสินใจขอยอมตายดีกว่ายอมแพ้ และเอาธงชาติมาห่มตัวก่อนกระโดดจากยอดเขาลงมาตาย ภายในปราสาทจึงมีอนุสาวรีย์ และภาพวาดที่ระลึกถึงนักเรียนเตรียมทหารทั้งหก ต่อมาปีค.ศ.1944 รัฐบาลเม็กซิโกประกาศให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ
ตัวปราสาทโอบล้อมด้วยสวนสาธารณะที่ร่มรื่นให้บรรยากาศเหมือนเดินเล่นในเขาดิน มีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายขนม เช่น ข้าวเกรียบสีสันจัดจ้าน และถั่วชนิดต่างๆ รวมถึงของที่ระลึก สำหรับคนขี้เมื่อยมีบริการรถรางขึ้นไปถึงตัวปราสาท ราคา 12 เปโซ หรือราว 30 บาท แต่หากใครอยากออกกำลังกาย สามารถเดินขึ้นไปเองได้ ท่าม กลางอากาศเย็นสบาย
อันดับสุดท้าย แวะชมพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาและประวัติ ศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโก ซึ่งเปิดเมื่อปีค.ศ.1964 ภายในประกอบด้วยโบราณวัตถุและศิลปะวัตถุล้ำค่ามากกว่า 14,000 ชิ้น จากหลายชนเผ่าที่ เคยครอบครองดินแดนเม็กซิโก
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปจะพบเสาหินรูปทรงร่มที่เป็นเอกลักษณ์ ลำต้นของเสาแกะสลักลวดลายงดงาม ส่วนพิพิธภัณฑ์มีหลายอาคารและมีห้องจัดแสดงนิทรรศการทั้งหมด 23 ห้อง บนเนื้อที่ 79,700 ตารางเมตร หากจะชมให้ครบต้องใช้เวลาทั้งวัน
สำหรับศิลปวัตถุชิ้นเอกที่จะกล่าวถึงคือ หินพระอาทิตย์ หรือ ปฏิทินหินของชาวแอสเต็ก ซึ่งคนทั่วโลกเข้าใจว่าเป็นปฏิทินทำนายวันสิ้นโลกดังที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่มัคคุเทศก์ปฏิเสธและว่าเป็นปฏิทินสลักลวดลายว่าด้วยการกำเนิดมนุษย์ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.7 เมตร น้ำหนัก 24 ตัน ตรงกลางเป็นเทพพระอาทิตย์ทำให้ได้ชื่อว่าหินพระอาทิตย์
อีกชิ้นคือรูปสลักหินขนาดใหญ่ของชาวแอสเต็ก ส่วนหัวทำเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น นกอินทรี หรือเสือจากัวร์ สำหรับชิ้นที่จัดแสดงนี้เป็นเสือจากัวร์ โดยด้านบั้นท้ายทำเป็นอ่างใช้สำหรับใส่หัวใจมนุษย์ที่ควักออกมาขณะทำพิธีบูชายัญ นอกจากนั้นมีรูปสลักหินตัวแทนเทพเจ้า เช่น เทพแห่งสมุนไพร เทพแห่งธาตุทั้งสี่ เป็นต้น
ช่วงเวลาสั้นๆ ของการท่องเที่ยวเม็กซิโก สามารถสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่อลังการของอารยธรรมในดินแดนแห่งนี้ที่มีประวัติศาสตร์และความรุ่งโรจน์ยาวนานไม่แพ้อารยธรรมใดๆ ในโลก
หากมีโอกาสขอแนะนำให้ไปเยือนสักครั้ง เพราะเม็กซิโกสวยงามและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
สถาปัตยกรรมโบสถ์คาทอลิกแบบสเปน
นายสุวัฒน์ จิระพันธ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำเม็กซิโก กล่าวว่า เม็กซิโกมีคนไทยอยู่น้อยมาก ทั้งประเทศมี 140 คน ส่วนใหญ่เป็นคนที่มาตั้งรกรากมีครอบครัวเป็นคนที่นี่ และมีบ้างที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร แต่เป็นขนาดเล็ก สปานวดตัวก็พอมีบ้างแต่ค่าใช้บริการแพงมาก ประมาณ 40 นาทีตกราว 2,000 บาท
เรื่องอาหาร คนเม็กซิกันกินอาหารรสเผ็ดร้อนคล้ายกับคนไทย ทำให้โอกาสทำร้านอาหารไทยที่นี่ค่อนข้างน้อย ผิดกับอาหารญี่ปุ่น และอาหารจีน แต่อาหารไทยก็ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีโรงแรมหลายแห่งติดต่อสถานทูตไปจัดเทศกาลอาหารไทย จึงคาดว่าแนวโน้มจะดีขึ้น
ด้านการศึกษา สถานทูตมีโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยในเม็กซิโกจัดทำหลักสูตรไทยคดีศึกษา โดยส่งนักศึกษาเม็กซิโกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในไทยแล้ว เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมและเพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ที่นี่
สำหรับค่าครองชีพ เม็กซิโกใช้สกุลเงิน เม็กซิกันเปโซ มีสัญลักษณ์ ตัวเอส เหมือนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 เปโซเท่ากับประมาณ 2.5 บาท
ด้านการเมือง สเปนเข้ายึดครองเม็กซิโกปีค.ศ.1521 ปกครองด้วยความรุนแรง ในระบอบเผด็จการ ประชาชนยากจนและขาดสวัสดิการ ชาวเม็กซิโกลุกฮือปฏิวัติสำเร็จเมื่อปีค.ศ.1810 ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น