ภายหลังจากที่เกิดเหตุพายุฤดูร้อนพัดถล่มภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ตามเวลาในท้องถิ่น สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ตามเวลาในประเทศไทยว่า ขณะนี้มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 12 ศพแล้ว ขณะที่อีก 3 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้ในวันที่อากาศร้อนที่สุดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่สหรัฐเผยว่า มีรายงานผู้เสียชีวิต 6 ศพในรัฐเวอร์จิเนีย ในจำนวนนี้มีหนึ่งรายเป็นหญิงชราวัย 90 ปี เสียชีวิตขณะนอนหลับบนเตียงในบ้านพักแล้วต้นไม้หักโค่นลงมาทับ เพราะแรงลมจากพายุที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง แล้วยังมีอีก 2 ศพเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน อยู่ในรัฐนิวเจอร์ซี เสียชีวิตในเต็นท์ที่พักขณะออกมาตั้งค่ายพักแรม แล้วถูกต้นไม้หักโค่นลงมาทับเต็นท์ อีก 2 ศพในรัฐแมรี่แลนด์ 1 ศพในรัฐโอไฮโอ และสุดท้ายอีก 1 ศพในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
รายงานระบุว่า ยังมีอีกหลายพื้นที่ซึ่งมีประชาชน 3 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้ เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ในวันที่อากาศร้อนที่สุดอุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงถึงระดับ 40 องศาเซลเซียสทั่วพื้นที่ภาคตะวันออกของสหรัฐ โดยเฉพาะในกรุงวอชิงตัน ดังนั้น ประชาชนจึงเลือกที่จะหนีเข้าไปคลายร้อนในห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็เข้าพักในโรงแรม ส่วนผู้ขับขี่รถยนต์ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะบางสี่แยกนั้นไฟจราจรไม่ทำงาน ในเขตชานเมืองของกรุงวอชิงตันศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินไม่สามารถให้บริการได้ เพราะไม่มีไฟฟ้า ชาวบ้านต้องหันไปใช้บริการของตำรวจ หรือดับเพลิง บางพื้นที่เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งเตือนประชาชนให้สำรองน้ำเอาไว้ใช้ รวมทั้งชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือไว้ให้เต็ม
ขณะที่ นายจอห์น คาซิส ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐนี้ เพราะมีประชาชนร่วม 1 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้ เช่นเดียวกับรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา อุณหภูมิของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.พุ่งขึ้นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ทำลายสถิติเดิมซึ่งเคยวัดได้ 38 องศาเซลเซียสเมื่อปี 2477