โชดดีที่เป็นเบาหวาน จากใจสาวหล่อหนัก 120 ลดเหลือ 77 กก

โชคดีที่เป็นเบาหวาน...จากใจสาวหล่อหนัก 120 ลดเหลือ 77 กก. โชคดีที่เป็นเบาหวาน...จากใจสาวหล่อหนัก 120 ลดเหลือ 77 กก.

 



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ LeOSeeD สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

            หากใครที่เคยติดตามเรื่องราวของ เนย อิทธิมนต์ ชายหนุ่มสุดอ้วนที่มีน้ำหนักตัวมากถึง 140 กิโลกรัม แต่เขากลับสามารถลดน้ำหนักให้เหลือ 66 กิโลกรัม ได้ภายใน 8 เดือน จนกลายเป็นหนุ่มรูปหล่อหน้าใส และกลายเป็นไอดอลขวัญใจของคนอยากผอมทั้งหลายให้มีกำลังใจในการลดความอ้วน อย่างไม่ย่อท้อ

            ซึ่งในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอนำเสนอเรื่องราวการลดน้ำหนักอันน่าทึ่งของสาว หล่ออีกหนึ่งคน ก็คือ คุณ LeOSeeD สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ลดความอ้วนในกระทู้... "โชคดีที่เป็นเบาหวาน" กระทู้พลีชีพ ก่อนและหลังการลดน้ำหนัก มาเล่าสู่กันฟัง เพราะไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องอึ้งตาม ๆ กัน เขาคนนี้สามารถลดความอ้วนจาก 120 กิโลกรัม ให้เหลือ 77 กิโลกรัม จนหน้าตาและรูปร่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งที่จุดประกายความคิดในการลดน้ำหนัก คือ โรคเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูงกำลังคุกคามชีวิตของเขาอยู่นั่นเอง เอาล่ะ...ลองไปฟังเรื่องราวของเขากันเลย


"โชคดีที่เป็นเบาหวาน" กระทู้พลีชีพ ก่อนและหลังการลดน้ำหนัก

            ใช่ครับ..อ่านไม่ผิดครับ ถ้าถามว่า โชคดียังไง ลองอ่านเรื่องของผมดูนะครับ ผมขอให้เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือ กำลังลดน้ำหนัก นะครับ อาจจะยาวไปนิด ถ้าไม่เบื่อซะก่อน ก็อยากให้อ่านให้จบ
นะครับ ^_^

            ผมเป็นคนที่ทานเก่งมาก ๆ ทานข้าวมื้อหนึ่งก็ต้องพิเศษสองจาน (ข้าวร้านอาหารตามสั่งอะครับ) ข้าวมันไก่นี่ต้องสั่ง "เจ๊..เนื้อน่อง พิเศษ สองจาน" ทาน เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน เลยล่ะครับ ขนมก็ทาน ขนมปัง เบเกอรี่ เค้ก โดนัท อะไรพวกนี้นี่ชอบมาก ๆ ทานได้ตลอดเวลา โดนัทกล่องหนึ่ง 10 ชิ้น ผมทานคนเดียวก็หมด ภายใน 1 วัน ขนมกรอบ ๆ มันฝรั่งทอดห่อล่ะ 30 บาท ทานครั้งล่ะ 2 ห่อ ห่อเดียวไม่เคยหนำใจ ช๊อกโกแลต คุกกี้แซนวิส เวเฟอร์ อะไรพวกนี้ทานเรียบ ไม่เคยสนใจอะไรทั้งนั้น จะเลิกทานก็ตอนนอนหลับเท่านั้น

            กาแฟ ปั่นก็ดื่ม ติดด้วยครับ บ่าย ๆ นี่ต้องดื่มทุกวัน น้ำอัดลม น้ำหวาน ชาเขียว ก็ดื่มครับ เท่านั้นยังไม่พอ ยังดื่มเบียร์เกือบทุกวันด้วยครับ สูบบุหรี่เป็นประจำอีกต่างหาก สัปดาห์หนึ่งก็ดื่มประมาณ 5-6 วัน จะดื่มช่วงเย็นครับ ถึงประมาณ ห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน ดื่มเสร็จ เมาแล้วก็ทานข้าวครับ ข้าวมันไก่บ้าง ผัดไทบ้าง เกาเหลาเลือดหมูบ้าง อะไรที่ขายข้างทางตอนดึก ๆ นี่ผมเป็นลูกค้าประจำตลอด 555+ ทานเสร็จ ก็อาบน้ำ นอน (อืด) ครับ แห่ะ ๆ ไม่เคย ออกกำลังกายเลยแม้แต่นาทีเดียว แค่เดินยังไม่เดินเลยครับ เดินได้ไม่เกิน 50 เมตร ถ้าไกลกว่านั้น ต้องขึ้นรถอย่างเดียวครับ (ขี้เกียจเดิน มันเหนื่อย) ผมใช้ชีวิตอย่างนี้มาตลอดจนถึงอายุ 23 ครับ น้ำหนักรวม 120 กิโลกรัม สูง 175 เซนติเมตร  โอ้โห..ทำไปได้อย่างไร น้ำหนักขนาดนั้น อ้วนมาก ๆ แต่ไม่เคยแคร์อะไรทั้งสิ้นครับ ไม่เคยไปหาหมอ..ไม่เคยตรวจสุขภาพ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นโรคอะไรด้วยครับ คิดว่าตัวเองแข็งแรงดีมาตลอด (ช่างกล้า..ไม่สังวรตัวเองครับ)
 


            ชีวิตผมดำเนินไปเรื่อยครับ ซึ่งผมก็จะยังมีพฤติกรรมการทาน การดื่ม และการสูบแบบเดิม ๆ อยู่ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเกิดอาการคอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำเท่าไรก็ไม่หายคอแห้ง ปวดปัสสาวะบ่อยมาก ทั้งวันทั้งคืน 20 นาที เข้าห้องน้ำ 1 ครั้ง ก็เข้าใจว่าเราคงดื่มน้ำเยอะ เราเลยปวดปัสสาวะบ่อย แล้วทำไมเราถึงคอแห้งล่ะ สงสัยอากาศร้อนล่ะ เลยกระหายน้ำ หรือว่าเราร้อนใน ไม่เคยมีเรื่องโรคเบาหวานเข้ามาในหัวเลยครับ คิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวมาก โอ้ย..โรคคนแก่ คนแก่โน้นถึงจะเป็น พอเช้าวันรุ่งขึ้นครับ ตื่นมาพร้อมอาการเวียนหัว คลื่นไส้ ปวดหัวมาก มึน งงไปหมดเหมือนโลกหมุน เอาล่ะ เดือดร้อนแล้วครับ ไม่ได้การ ต้องรีบแจ้นไปโรงพยาบาล มีสิทธิประกันสังคมนี่ ใช้ซะหน่อย ไหน ๆ ก็ส่งเงินอยู่ทุกเดือนอยู่แล้ว

            เดินเข้าไปพบคุณหมอครับ คุณหมอแค่เห็นหุ่นผม แล้วผมแค่บอกอาการว่าผมคอแห้ง แล้วก็ปัสสาวะบ่อย แค่นั้นแหละครับ หมอ (ไล่) ส่งไปตรวจเลือดทันที ผมถูกตรวจเลือดด้วยวิธีที่เจาะปลายนิ้วอะครับ น้ำตาลวิ่งปริ๊ด ไปหยุดที่ 398 คุณพยาบาลร้องโอ้โหหหห ผมก็ตกใจว่า ร้องทำไม คือผมไม่รู้หรอกว่า 398 มันน้อยหรือมากเพียงใด ในตอนนั้น กลับมาพบคุณหมอ คุณหมอบอกว่าคุณเป็น "เบาหวาน" แน่นอน 398 นี่มันเบาหวานแน่ ๆ บวกกับอาการที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ มันเป็นอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากโรคนี้โรคเดียว คุณหมอก็ถามว่าคนในครอบครัวมีใครเป็นมั้ย ผมบอก "ไม่มี" ไม่มีใครเป็นคุณก็เป็นได้ครับ เป็นได้ด้วยตัวคุณเองเลย คุณหมอจึงให้ยามาทาน เป็นยาทานก่อนอาหารเม็ดเล็ก ๆ ผมก็ทานไป ยังไม่สำนึกนะครับ ออกจากโรงพยาบาล ขากลับยังแวะร้านส้มตำร้านประจำโทรลากเพื่อนออกมานั่งดื่มเบียร์ แล้วก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า "เห้ยย..ตรูเป็นเบาหวานนนนนนนนน" พร้อมกับยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดก อีกมือก็ยกบุหรี่ ขึ้นมาสูบ ควันขโมง

            บอกตรง ๆ ครับ ตอนนั้นไม่รู้ว่า เบาหวานคืออะไร เป็นแล้วเป็นยังไง ผมก็ยังปกติดีอยู่นี่ ยังเดินเหินได้สบาย ไม่เห็นจะหน้ากลัวตรงไหนเลย หลังจากนั้นกลับมาบ้านมาบอกคุณแม่ครับ คุณแม่ตกใจมาก แล้วก็บอกให้ฟังว่า เบาหวานมันเป็นยังไง (คือตอนไปพบคุณหมอ คุณหมอก็บอกนะครับ แต่ผมไม่ได้ฟัง อารมณ์แบบไม่แคร์ ไม่กลัวอะครับ) มาฟังเอาตอนที่คุณแม่พูดแหละครับ เพราะสีหน้าคุณแม่ตอนที่รู้ คุณแม่ดูกังวลมาก ผมเลยตกใจ แล้วก็เลยตั้งใจฟังอะครับ ก็ฟังไปครับรู้สึกว่ามันน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เริ่มกลัวนิด ๆ ครับ แต่ก็ยังไม่เลิกครับ

            ระหว่างนั้นผมก็ทานยาที่คุณหมอให้ทุกวัน แต่ก็ยังไม่เลิกดื่มเบียร์ ไม่เลิกสูบบุหรี่ ยังทานไม่เลือกเหมือนเดิม มันห้ามใจไม่ไหวจริง ๆ นะ ครับตอนนั้น แต่ก็เริ่มอ่านหาข้อมูลทางอินเตอร์เนตบ้างครับว่าโรคเบาหวานเป็นอย่างไร ทานยาติดต่อกันมาก ๆ เป็นอย่างไร ถ้าควบคุมน้ำตาลไม่ได้จะต้องฉีดยา เบาหวานอาจจะขึ้นตา ตาจะบอด เท้าเน่า ไตวาย โน้นนี่นั่น ออกอาการเริ่มกลัวครับ แต่ก็ยังไปนั่งดื่มเบียร์ตอนเย็น ทานข้าว ทานขนม สูบบุหรี่เหมือนเดิมครับ เวลาผ่านไปซักประมาณ 1 เดือน คุณหมอนัดไปตรวจ น้ำตาลลงมานิดหน่อย แต่ที่เจอเพิ่มคือ "ไขมัน" ครับ โอ้ววว..ตายแล้วอะไรกันเนี่ย ตอนนั้นไม่เคยเข้าใจเลยครับว่ามันมีโรคแบบนี้อยู่บนโลกเราด้วยหรอ คิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวเรามาก แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลย

            ผมทานยาอยู่ประมาณ 3 เดือน ทั้งยาเบาหวานและยาลดไขมันในเลือดที่ทานก่อนนอนอะครับ แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะผมยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมครับ จนมีอยู่คืนหนึ่งครับ คืนนั้นผมจำได้ ผมไม่ได้ดื่มเบียร์ กลับบ้านเร็วมาเจอคุณแม่นั่งดูทีวีอยู่ครับ คุณ แม่ก็บอกว่าเนี่ยนั่งดูรายการขายยาเขาว่าคนเป็นเบาหวานทานแล้วหาย เอามั้ยลูกแม่จะซื้อให้ มันอันตรายมากนะถ้าเราควบคุมน้ำตาลไม่ได้ มีโรคแทรกซ้อนเยอะแยะเลย สีหน้าแม่กังวลมาก เบียร์น่ะ เลิกดื่มได้มั้ย บุหรี่น่ะอย่าไปสูบเลย ของไม่ดีทั้งนั้น เอาเข้าตัวเราทำไม อยู่ด้วยกันนาน ๆ สิ ในร่างกายมีแต่ของที่ให้โทษ แล้วจะอยู่ได้นานหรอ ทำเอาผมนอนไม่หลับเลยคืนนั้น นี่ผมไม่เคยห่วงตัวผมเองยังไม่พอ ผมยังไม่เคยห่วงคุณแม่ผมอีก ผมเริ่มคิดได้ว่าถ้าเราเป็นอะไรไป คนที่เสียใจที่สุดก็คงเป็นคุณแม่เรา

            ผมนอนคิดทั้งคืน นอนเปิดอินเตอร์เนตหาข้อมูล หาวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด และแล้วผมก็เจอวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่การทานยา หรือ ฉีดยา หรือการพบคุณหมอ หรือไปตระเวนหายาสมุนไพรจากไหนก็ไม่รู้ที่พูดต่อ ๆ กันมาว่าดี ว่าหาย แต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยันถึงผลลัพธ์ที่ได้จริง ๆ โดย วิธีที่ดีที่สุด คือ การออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ควบคุมปริมาณน้ำตาล เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบหรี่ ทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ นี่แหละ คือวิธีที่รักษาโรคเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูงที่ดีที่สุด เอาล่ะ ผมจะเริ่มต้นการลดน้ำหนักอย่างจริงจังแล้วนะ เพื่อสู้กับโรคบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูง

            เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นเดินลงมาจากห้องนอน เจอคุณแม่นั่งดูทีวีอยู่เหมือนเคย ผมเดินเข้าไปพูดกับคุณแม่ว่า "ผมจะเลิกดื่มเบียร์ เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่แล้วนะ ผมจะออกกำลังกายลดน้ำหนักนะครับแม่" คุณแม่ดูตกใจมาก พูดกับผมว่า "จริงเหรอ? ดีใจนะเนี่ย" ผมบอก "จริง ผมจะลดน้ำหนักควบคุมน้ำตาล เพื่อสู้กับไอสองโรคนี้" ที่มันมาเยี่ยมเยือนผม โดยที่ผมไม่ได้แจกการ์ดเชิญมันเลย

            หลังจากนั้นผมเริ่มควบคุมอาหาร ทานข้าวแต่มื้อเช้าและมื้อกลางวัน ขนม ของว่างระหว่างมื้อ น้ำหวาน น้ำอัดลม ผมเลิกหมด เหล้าเบียร์บุหรี่ ผมเลิกแบบหักดิบ ทิ้งอุปกรณ์ทั้งหมด คิดว่าถ้าไม่สูบแล้วมันจะตายก็ให้มันตายไป เพราะถ้าไม่เลิกสูบก็ต้องตายอยู่ดี ผม ค่อย ๆ เริ่มออกกำลังกาย วันแรกเป็นอะไรที่เหมือนตกนรกมาก ทรมานแบบสุด ๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งอยากสูบบุหรี่ ทั้งอยากดื่มเบียร์ หิวข้าวด้วย มันรุมเร้าผมจนผมเกือบท้อไปเหมือนกัน

            แต่ผมสู้ตาย ผมนึกถึงคำพูดคุณแม่ผม นึกถึงหน้าตาคุณแม่ตอนที่บอกว่าจะไปหาซื้อยาสมุนไพรที่เขา (เขาไหนก็ไม่รู้) บอกว่ากินแล้วดีกินแล้วหายมาให้ ผมฮึดเลยครับ นี่ผมเป็นคนยังไงกัน ทำไมถึงทำให้แม่ผมเครียดและกังวลใจได้ขนาดนี้ ที่ผ่านมาผมเคยนึกถึงใครบ้างนอกจากตัวเอง คิดแต่จะทำตามใจตัวเอง ปล่อยปะละเลยอะไรไปบ้าง ตาจะบอด ไตจะวาย เท้าจะเน่า ยังไม่สำนึก

            ผมสู้เลยครับ ผ่านไป 1-2 สัปดาห์ ทุกอย่างเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ผ่านไปหนึ่งเดือนทุกอย่างเริ่มเข้าที่ อาการอยากสูบบุหรี่ ดื่มเบียร์ ยังมีแต่ก็น้อยลง อาการเหนื่อยหอบเป็นสุนัขวิ่งไล่มอเตอร์ไซค์วิน ตอนที่ออกกำลังกายก็ดีขึ้น หอบน้อยลง อาการหิวข้าวตอนเย็นก็เริ่มชินมากขึ้น แต่ยังไม่เลิกทานกาแฟปั่นนะครับ เลิกไม่ได้จริง ๆ ผมก็จะสั่งแบบหวานน้อยครับ น้อย ๆ มาก ๆ แทบจะไม่หวานเลยด้วยซ้ำไป ทำให้น้ำหนักตัวลดฮวบลงอย่างไม่น่าเชื่อภายในหนึ่งเดือนแรกลดไป 10 กิโลกรัม ทำเอาผมอึ้งและทึ่ง และเริ่มมีความสุขในการลดน้ำหนักมากขึ้นเพราะมันเห็นผล (มารู้ทีหลังนะครับว่าคนที่อ้วนมาก ๆ น้ำหนักตัวเยอะ ๆ ถ้าเริ่มลดความอ้วนน้ำหนักตอนแรกจะลงไวมาก) ผมก็ทำมาเรื่อยครับ จนครบประมาณสองเดือนครับ (ผมยังทานยาเบาหวานและยาลดไขมันอยู่นะครับ)

            ถึงเวลาคุณหมอนัด ผมไปพบตามนัดครับ คุณหมอก็ตรวจระดับน้ำตาลปรากฏว่า ลดลงมาเหลือ 99 ครับ ผมถึงกับอึ้ง ปนกับความดีใจ หมอบอกน้ำตาลดีนี่ ผมเลยถามคุณหมอว่าผมไม่ต้องทานยาแล้วได้มั้ย คุณหมอบอกใจเย็น ๆ กลับไปทานยาอีก 1 สัปดาห์แล้วมาพบหมออีกครั้งหนึ่ง ผมก็กลับบ้านมา ทำกิจวัตรการลดน้ำหนักของผมเหมือนเดิม ทานยาที่คุณหมอสั่ง 1 สัปดาห์ ผมกลับไปใหม่ คุณหมอตรวจน้ำตาลเหลือ 94 ผมดีใจมากเลยครับ ขอคุณหมอเลิกทานยาอีก คุณหมอ ก็บอกว่า ลองดูแต่อย่าหายตัวไปไหนนะ ลองดูแค่ 1 สัปดาห์ แล้วกลับมาใหม่ ผมกลับมาบ้าน พร้อมกับทำกิจวัตรลดน้ำหนักของผมเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ไม่ต้องทานยาแล้ว ผมดีใจและมีกำลังใจขึ้นเยอะมาก ๆ

            หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปผมไปพบคุณหมอตามนัด ใจก็ตุ๋ม ๆ ต่อม ๆ ตรวจเลือดมา น้ำตาลอยู่ที่ 91 น้ำตาลสะสม อยู่ที่ 4.1 ไขมันในเลือดคุณหมอก็บอกว่าต่ำ แต่ไม่ต้องทานยาแล้ว กลับไปไป๊ 555+ แต่ไม่ได้แปลว่าเราหายนะ คุณหมอขอ 1 เดือน กลับมาให้คุณหมอดูน้ำตาลใหม่ แต่ถ้าก่อนถึงวันนัดมีอาการอะไรผิดปกติต้องรีบมาหาคุณหมอนะ อย่าทิ้งไว้ มันอันตรายอยู่ โอ้โห..ผมดีใจแทบจะกระโดดหอมแก้มคุณหมอเลยครับ (แต่ไม่ได้ทำนะครับ 555+) ผมแค่ดีใจมากที่ได้ยินคำ ๆ นี้ออกมาปากจากคุณหมอ

            ผมกลับมาปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ของผมเหมือนเดิม โดยที่ไม่ได้ทานยาแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอย อาการเหนื่อยง่ายเริ่มหายไป ออกกำลังได้มากขึ้น เผาผลาญได้เยอะขึ้น อาการอยากสูบบุหรี่และอยากดื่มเบียร์ หายไป อาจเป็นเพราะผมใจจดจ่ออยู่ที่การลดน้ำหนักด้วยล่ะมั้งครับ น้ำหนักตัวผมลดลงมาเรื่อย ๆ ผ่านไป 1 เดือน ผมกลับไปพบคุณหมอตามนัด น้ำตาลอยู่ที่ 93 แอบขยับขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ของระดับน้ำตาลของคนปกติ คุณหมอเลยบอกผมว่าไม่ต้องทานยาแล้วล่ะ แต่ขอให้กลับมาพบคุณหมอ อีก 2 เดือนข้างหน้าผมดีใจมากที่ผมไม่ต้องทานยาแล้ว ผมบอกกับคุณแม่ คุณแม่ผมดีใจใหญ่ ผมรู้สึก ภูมิใจ แล้วก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก

            ผมปฏิบัติภารกิจลดน้ำหนักของผมต่อไป ตอนนี้คนรอบข้างทักผมแล้วว่าผมทำอะไรมา ผอมลงนะ แต่จะให้ดี ต้องลดอีก ผมก็บอกว่าผมกำลังทำอยู่ ผมลดน้ำหนักสู้กับเบาหวานและไขมันในเลือดอยู่ เวลา ผ่านไปครบสองเดือน ถึงวันที่คุณหมอนัด ผมไปพบคุณหมอ ด้วยใจฮึกเหิม เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมหยุดทานยาไปประมาณ สองเดือน ปรากฏว่าผลน้ำตาลสะสมอยู่ที่ 4.7 (ขึ้นมา หน่อยครับ แต่คุณหมอบอกว่าดี ปกติคนที่เป็นเบาหวานคุณหมอจะให้คุมให้ไม่เกิน 6.0 ส่วนคนไม่เป็นเบาหวานให้อยู่ที่ไม่เกิน 5.0 ครับ)

            ไขมัน LDL อยู่ที่ 160, ไขมัน HDL อยู่ที่ 55, ไตรกลีเซอไรด์ อยู่ที่ 75 คุณหมอบอกว่า LDL ค่อนข้างสูง แต่ว่าไม่ต้องใช้ยา ให้ออกกำลัง แล้วก็ไม่ทานของมัน ๆ ให้ผมลองดู คุณหมอนัดผมอีกครั้งก็อีกสองเดือนข้างหน้า ซึ่งก็คือวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมจะมารายงานความคืบหน้าครับ
 

Credit: กระปุก
#คนอ้วน
THEPOco
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
29 มิ.ย. 55 เวลา 07:43 2,384 2 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...