“เจเน็ต เขียว” แจ้งความจับสาวใหญ่ โกง และหลอกลวงซื้อรีสอร์ต

“เจเน็ต เขียว” แจ้งความจับสาวใหญ่ ข้อหาฉ้อโกง-หลอกลวง หลังทำทีติดต่อซื้อรีสอร์ตเกาะช้าง 13.5 ล้านบาท พร้อมขอบริหารก่อน 4 เดือน โดยจะแบ่งรายได้คนละครึ่ง แต่สุดท้ายหนีหาย เผยพบประวัติเป็นนักต้มตุ๋น
       
       วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่ สภ.เกาะช้าง น.ส.นงนุช สมบูรณ์ หรือเจเน็ต เขียว อายุ 44 ปี นักแสดงพร้อมทีมงานเดินทางจากกรุงเทพฯ เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.ประสาท สามารถกุล ร้อยเวร สภ.เกาะช้าง เพื่อดำเนินคดีต่อนางสมนึก พิมพ์ทอง อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 169 หมู่ 8 ต.ท่าชัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ในข้อหาฉ้อโกง และหลอกลวง ซึ่ง พ.ต.ท.ประสาน สามารถกุล ทำการสอบสวนปากคำในเบื้องต้นแล้ว
       
       น.ส.นงนุช สมบูรณ์ หรือเจเน็ต เขียว เปิดเผยว่า ที่ต้องเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีนางสมนึก พิมพ์ทอง ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากตนเองได้ประกาศขายรีสอร์ต ชื่อ “กรีน คอทเทจ บีช รีสอร์ท” ตั้งอยู่ที่บ้านบางเบ้า หมู่ 1 ต.เกาะช้างใต้ อ.เกาะช้าง จ.ตราด ในราคา 15 ล้านบาท หลังจากประสบกับภาวะขาดทุน จากที่ไม่มีเวลาที่จะมาดูแล และมีงานละครเข้ามาในช่วงนั้น ประกอบกับมารดาป่วย ต้องนำเงินมารักษามารดา และนำมาใช้หนี้ธนาคารที่กู้มาลงทุน
       
       ที่ผ่านมา ตนประกาศขายมาตั้งแต่กลางปี 2554 ปรากฏว่า ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2554 นางสมนึก พิมพ์ทอง ได้เดินทางมาพักที่รีสอร์ตนาน 2-3 สัปดาห์ โดยระบุว่า บ้านและธุรกิจที่ตั้งอยู่ใน จ.อยุธยา น้ำท่วมจึงได้หลบมาพักผ่อน (หนีน้ำ) มาที่ อ.เกาะช้าง และระหว่างพักอยู่ในรีสอร์ตก็พยายามสร้างความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องของตน หลายคน พร้อมโอ้อวดว่าเป็นผู้ทำธุรกิจหลายอย่างมีเงินหมุนเวียนหลายสิบล้าน สามารถนำเงินจากพรรคการเมืองหนึ่งมาได้
       
       ในที่สุด ก็ขอซื้อรีสอร์ตตนเองที่ประกาศขายอยู่ 15 ล้าน และตกลงราคากันได้ในราคา 13.5 ล้านบาท และบอกว่าจะจ่ายให้ใน 2-3 สัปดาห์ และจะให้ถึง 20 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้ นางสมนึกบอกว่า ราคาที่ตกลงกันคือ 13.5 ล้านบาท และเมื่อได้เงินมาจะให้ 15 ล้านบาท และฝากให้อีก 5 ล้านเป็น 20 ล้านบาท เพราะเป็นคนทำธุรกิจนอกระบบต้องนำเงินไปหมุนเวียนตลอด
       
       น.ส.นงนุช กล่าวต่อไปว่า ทุกคนเชื่อถือเพราะนำเงินมาแสดงหลายครั้ง ที่สุดไม่รู้ใจดีอะไรก็บอกให้นางสมนึก พิมพ์ทอง เข้ามาบริหารจัดการรีสอร์ตพร้อมทีมงาน 3 คน ที่เป็นชาย 1 หญิง 2 คน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554 เป็นต้นมา ในช่วงนั้นเป็นช่วงไฮซีซัน มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักเกือบเต็มทุกวัน โดย 1 เดือนจะมีรายได้ประมาณ 200,000 กว่าบาท แรกๆก็เอาเงินมาแบ่งให้แก่น้องสาว 50% ตอนหลังไม่ให้เลย
       
       ระหว่างที่บริหารในรีสอร์ต นางสมนึก ก็รับว่าจะนำเงินทั้งหมดมาให้ในวันขึ้นปีใหม่ 2555 หลังเข้ามาบริหารงานได้ 3 เดือน มีรายได้หลายแสนบาทแต่ก็ไม่ให้ นอกจากนี้ นางสมนึกยังไปหลอกเงินจากน้องสะใภ้ ที่นครราชสีมาไปอีก 800,000 บาท ด้วยการล่อลวงให้น้องสาวที่ดูแลรีสอร์ตพาไป โดยทำทีติดต่อจะซื้อที่ดินจากญาติ แต่ก็ไม่ได้ซื้อที่ดินตามที่บอก
       
       จนกระทั่งมาจับได้ ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ว่านางสมนึก พิมพ์ทอง เป็นนักต้มตุ๋น หลอกลวง เพราะมีเจ้าของรีสอร์ตอีก 2-3 แห่ง โดยใช้วิธีการ เช่น หลอกเงินจากเจ้าของรีสอร์ตบนเกาะช้างรายหนึ่ง ด้วยการยืมเงิน 3 หมื่น และเมื่อถึงเวลานำเงินมาคืน 5 หมื่น จนเจ้าของรีสอร์ตไว้ใจจึงได้ให้เงินไปอีก 500,000 บาท และอีก 1 ครอบครัวรวม 1.4 ล้านบาท และอีกราว 1.1 แสนบาท รวมทั้งหมดเป็นเงินกว่า 2.4 ล้านบาท
       
       “ยอมรับว่าเราคิดว่าอยากจะได้เงิน ทำให้เราไว้วางใจเขาให้เข้ามาบริหารแล้วนำเงินมาให้บ้าง 4-5 หมื่นบาท ซึ่งมารู้ทีหลังว่าถูกหลอก จึงปรึกษากับ อ.ประมาณ (ทนายความ) ว่าควรจะดำเนินการอย่างไร อาจารย์บอกว่าให้แจ้งความข้อหาฉ้อโกง หลอกลวง ซึ่งเราขอเตือนบุคคลอื่นๆ ถึงพฤติกรรมของนางสมนึก พิมพ์ทอง จะได้ไม่ถูกหลอก หรือไปหลอกใครได้อีก ตอนนี้ก็ทราบว่ายังอยู่ใน อ.เกาะช้าง ตนเองบอกน้องสาวให้เขาออกจากรีสอร์ตไปแล้ว แต่ยังคงอยู่กับคนที่รู้จักบนเกาะช้าง”
       
       น.ส.นงนุช กล่าวว่า การตัดสินใจขายธุรกิจรีสอร์ต หากขายได้ก็จะไม่กลับมาทำธุรกิจในเกาะช้างอีกแล้ว เงินทั้งหมดก็จะนำไปใช้หนี้ธนาคาร ไม่ได้มีกำไรอะไร เพราะทำไปก็ลงทุนไป และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
       
       ด้าน พ.ต.ท.ประสาท สามารถกุล กล่าวว่า คดีนี้ทาง สภ.เกาะช้าง จะเรียกตัวนางสมนึก พิมพ์ทอง มารับทราบข้อกล่าวหา และดำเนินการต่อไป

Credit: manager
26 มิ.ย. 55 เวลา 23:39 1,863 1 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...