ใครจะอยู่ค้ำฟ้า
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔
คืนหนึ่งภายหลังกลับจากฟังพระสวดอภิธรรมงานศพที่วัดแห่งหนึ่งในพระนคร กลับถึงบ้านด้วยใจหดหู่ เพื่อนๆ ที่รู้จักกับผู้ชายหลายคนต่างก็พากันบ่นว่า ไม่น่าจะตายง่ายอย่างนี้เลย แทบไม่เชื่อว่าเพื่อนได้ตายจากไปแล้ว ต่างก็แสดงความเศร้าสลดใจยิ่งนัก เพราะก่อนเที่ยงวันพวกเราพร้อมกับผู้ตายและเพื่อนๆ อีกหลายคนได้ไปรับประทานข้าวที่ร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง ยังคุยกับผู้ชายอย่างสนุกสนานเฮฮา
ผู้ตายบอกว่าได้ปลูกตึกกำลังจะเสร็จเรียบร้อยถ้าเสร็จ ก็จะเป็นตึกอันโอ่อ่าในตำบลนั้นหลังหนึ่งแทนบ้านไม้หลังเก่าแก่หลายปีในที่ดินผืนเดียวกัน ผู้ตายยังพูดว่า “อั๊วอยู่บ้านไม้มานานแล้ว คราวนี้อยากจะลองอยู่ตึกดูบ้าง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วอั๊วขอเชิญพวกเรา เพื่อนๆ ไปในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ และงานฉลองเพื่อสละความเป็นโสด”
พวกเราหัวเราะและต่างก็แสดงความยินดีด้วยเพราะทราบว่าหลังจากที่ภรรยาวายชนม์ไปเกือบปีแล้ว แกก็ยังไม่เคยมีข่าวว่ามีคู่ควงคนใหม่ จู่ๆ แกก็บอกให้ทราบ พวกเราไม่มีใครรู้จักเจ้าสาวของแกเลย จึงถามเพราะอยากรู้จัก แกผลัดไว้ว่า เมื่อถึงวันขึ้นบ้านใหม่ค่อยรู้จักดีกว่า ประเดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น แกสนทนากับพวกเพื่อนๆ อย่างมีความสุข หน้าตายิ้มแย้มสดชื่นดูเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวยทั้งที่อายุก็เลยห้าสิบไปแล้ว เห็นจะเป็นเพราะความอิ่มเอิบสบายใจ คงนึกฝันถึงความสุขที่กำลังรออยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้าอดหยอกเย้าแกถึงเรื่องเจ้าสาวไม่ได้ หลังอาหารเราก็แยกย้ายกันกลับ
พอตกเวลาเย็นได้รับข่าวว่า แกได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว ข้าพเจ้าตกตะลึงแทบไม่เชื่อ ว่าจะเป็นความจริงภายหลังทราบแน่ว่า เมื่อกลับจากทานอาหารถึงบ้านแกเป็นลมล้มในห้องน้ำเกิดหัวใจวาย ไม่ทันจะได้ตามหมอหรือส่งโรงพยาบาลก็หมดลมเสียก่อน
นี่แหละคนเรา ไม่มีใครรู้วันตายแน่นอน ไม่มีอะไรเที่ยงตรง แกยังมัวหลงว่าจะมีความสุข ฝันถึงชีวิตอนาคตอย่างน่าสงสาร ฉะนั้น พระท่านจึงสอนว่า การสร้างความดีเราอย่านึกถีงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ผิดถูกก็แก้ไขอะไรไม่ได้ และก็อย่าคิดถึงอนาคตอันเป็นสิ่งไม่แน่นอน จะทำความดีก็ทำในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลาที่มีความรู้สึกแน่นอน ข้าพเจ้าก็ได้แต่อธิษฐานว่า ด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าเคยสร้างบุญกุศลบารมี ขอให้วิญญาณของเพื่อนฝูงไปสู่สุคติในวิมานเมืองสวรรค์ชั้นฟ้าตามความปรารถนา
คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับ แม้จะกลับจากงานคพไม่ดึกนัก การตายของเพื่อนทำให้ข้าพเจ้าคิดมาก คิดไปถึงเพื่อนคนอื่น คิดถึงคนที่สร้างความชั่วสร้างความดีพยายามหักใจไมให้คิดอะไรเพื่อให้จิตสงบ จะได้หลับง่ายแต่ไม่สามารถข่มจิตให้สงบลงได้ แม้จะใช้สมาธิตัดกังวลเพียงไร เคยให้หลับง่ายได้ผลมาก่อน แต่มาคืนนั้นจิตไม่อยู่ในสมาธิตาสว่างแข็งหลับไม่ลง เหมือนเก็บได้ดื่มน้ำชาจีนชงแก่ๆ จนขม เห็นจะเป็นเพราะตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ นึกว่าหากแข็งใจนอนจะคิดฟุ้งซ่าน จึงรีบลุกขึ้นใช้เวลาที่นอนไม่หลับให้เป็นประใยชน์ ระบายความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษรหมดแล้ว ไม่ช้าก็คงง่วงไปเอง จงนึกถึงเหตุการณ์ของโลก นึกถึงเพื่อนที่จากไป
เมื่อนึกถึงโลกที่กำลังวุ่นวายปั่นป่วนอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมนุษย์ใจชั่ว มักให้ใฝ่สูง ขาดคีลธรรมเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้น ในที่สุดโลกคนชั่ว ก็จะต้องถูกทำลายลงด้วยมนุษย์เที่ยงธรรมเช่นเดียวกัน เมื่อนึกแล้วก็อยากจะตั้งปัญหาถามตัวเองว่า “เราเกิดมาทำไม” เมื่อนึกถึงตอนนี้แล้ว ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงครั้งหนึ่ง ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมานานแล้ว
ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ใปในงานบรรจุศพที่วัดมีชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนคร ข้าพเจ้าไปถึงก่อนเวลาเพราะตั้งใจจะใช้เวลาเข้าไปเที่ยวเดินดูในสุสานที่สงบซึ่งธรรมดาเมื่อข้าพเจ้าไปในงานบรรจุศพครั้งใด วัดใดข้าพเจ้าก็ชอบไปก่อนเวลา เพื่อจะได้เดินพิจารณาดูตามสุสานที่บรรจุศพในวัดนั้น บางครั้งก็มีเพื่อนตามไปด้วยบางครั้งก็เดินดูคนเดียว เพื่อจะได้เห็นภาพที่น่าคิดน่าพิจารณา ปลงถึงสังขาร เพื่อจะได้บรรเทากิเลสตัณหาความโลภ ความหลง ลงได้บ้าง อย่างน้อยเราก็ได้เห็นความแตกดับของสังขารเช่นเดียวกัน ไม่มีใครหนีพ้น
ครั้งนั้นข้าพเจ้าเดินดูคนเดียว เมื่อเข้าในเขตสุสานมองเห็นสองข้างทางเดินที่บรรจุศพ ก่ออิฐโบกปูนเป็นของเนื้อที่เฉพาะบรรจุโลงศพอยู่ภายใน ข้างบนโบกปูนโค้งเป็นรูปประทุนเป็นกุฏิฯ เรียงรายเป็นทิวแถวจะเรียกที่บรรจุศพก็ออกจะยาวเกินไปความหมายมีน้อย ข้าพเจ้าขอเรียกว่า “กุฏิศพ” คงจะเข้าใจดี สองข้างทางมีกุฏิศพมีทางเดินผ่านไปทั่วถึงทุกที่กุฏิศพเขาโบกปูนปิดช่องแล้วจารึกชื่อ นามสกุล ผู้ตาย พร้อมทั้งวัน เดือนปี ชาตะ มรณะ หากมียศบรรดาศักดิ์ก็บอกไว้เรียบร้อยนอกจากซากผู้สูงอายุแล้ว บางซากก็เป็นเด็กวัยรุ่นบางซากก็ยังเป็นนางสาว และบางซากก็ยังเป็นชายหนุ่มความตายไม่แน่นอน เตือนให้อย่าทะนงตนว่ายังเป็นหนุ่มสาว ยังสดชื่นสวยงามนึกว่ายังอยูในวัยไม่สมควรตาย ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ความประมาทย่อมนำเราไปสู่จุดจบ
แต่ส่วนมากในยุคนี้ หนุ่มสาววัยรุ่นก็จบชีวิตลงด้วยความประมาท เมื่อข้าพเจ้าเดินดู และนึกถึงซากที่นอนนิ่งสงบอยู่ภายในโลง ร่างเหล่านี้เมื่อนึกย้อนหลังไปครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมมีความประพฤติทั้งดีและชั่ว คงจะมีวิธีต่อสู้กับชีวิตต่างๆ กัน มีทั้งสร้างความดีและความชั่วหากได้ติดตามวิถีชีวิตของซากศพเหล่านั้นก็คงจะมีเรื่องที่น่านำมาเล่าอีกมาก
ในวันนั้นข้าพเจ้าเดินดช้าๆ เพื่อให้ทั่วและถ่วงเวลาให้พอดีกับกำหนดทำพิธีบรรจุศพ แต่แล้วข้าพเจ้ามีความรู้สึกคล้ายสะดุดก้อนหินหัวคะมำแทบจะล้มต้องตั้งตัวหยุดชะงัก พอเงยหน้าขึ้นก็มายืนอยู่หน้ากุฏิศพหนึ่ง มีชื่อและนามสกุลผู้ตายที่คุ้นหู จนทำให้ขนลุกได้พยายามมองและอ่านชื่อผู้ตาย ทวนแล้วทวนอีกเพื่อให้แน่ใจ เพราะว่าชื่อนี้นามสกุลนี้ เคยเป็นเพื่อนที่รักใคร่และสนิทสนมกับข้าพเจ้ามาแต่ครั้งยังเด็กๆ เมื่อเติบโตขึ้นเราก็ยังรักใคร่สนิทสนมกันตลอดมา
ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงเงียบหายไป ไม่ได้ทราบข่าวคราวกันเลย เมื่อแน่ใจว่าฉากภายในกุฏินั้นเป็นฉากที่เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ไม่ใช่ชื่อและนามสกุลซ้ำกัน ทำให้คิดว่านี่ถ้าเพื่อนรักมีชีวิตอยู่เมื่อได้พบข้าพเจ้าเช่นนี้ คงจะดีใจแทบกระโดดเข้ามากอดคอให้สมกับนานๆ จะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง เลยคิดสงสัยไปว่าสะดุดที่หน้ากุฏิศพเพื่อนโดยบังเอิญนั้น คงจะเป็นอำนาจการท้าทายของเพื่อนด้วยความดีใจ หรือข้าพเจ้าคิดมากไป
เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้พบแต่ร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ในโลง ซึ่งก่ออิฐโบกปูนอยู่ภายนอกเหลือแต่ซากหลับสนิทไม่รู้ตื่นอยู่ภายใน หมดความสนใจยินดียินร้ายในโลกมนุษย์อีกต่อไป ข้าพเจ้าสลดใจจนบอกไม่ถูกนึกถึงเวลาเพื่อนเจ็บป่วยก็ไม่ทราบข่าวเลยตลอดจนถึงแก่กรรมลงก็ยังไม่รู้ ถ้ายังไม่มาเห็นชื่อและนามสกุลที่สุสาน ก็คงหลงว่าเพื่อนยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าต้องยืนนิ่งสงบใจ แผ่ส่วนกุศลให้แก่วิญญาณเพื่อนรัก และอดคิดถึงชีวิตแห่งความหลังไม่ได้ ว่าเรารู้จักกันมาแต่ยังเป็นเด็กๆ
เมื่อครั้งเรายังนุ่งโสร่งสะพายแล่งข้างหนึ่งอยู่บนบ่า อีกข้างหนึ่งปล่อยให้ตกลงถึงตะโพก เวลานั้นยังไม่รู้จักความอาย ความสวย ความงาม ไม่สนใจว่าใครเขาจะนุ่งกันแบบไหน ขอเอาความสะดวกสบายเข้าว่าไม่ต้องคอยจะนุ่งผ้ากลัวมันจะหลุด สู้สะพายแล่งไม่ได้สะดวกสบายกว่า เพราะเราชอบวิ่งตีชอบกระด้ง หรือจะเรียกให้ถูกว่า กระด้งมีแต่ชอบเราใช้ไม้ตี ให้มันหมุนเป็นล้อวิ่งไปตามถนน เลี้ยงให้มันเลี้ยวซ้ายขวาเร็วบ้างช้าบ้างสุดแต่เราต้องการ บางเวลาเราทั้งสองก็ตี ให้มันวิ่งแข่งความเร็วกัน ถ้าใครได้อัฐจากผู้ใหญ่ ก็เอามาซื้อน้ำแข็งกดใส่น้ำหวานเขียวแดงแจกกันดูดไปตามถนนบางครั้งน้ำมูกไหลออกมาก็ใช้นิ้วป้ายไปทางแก้ม
ส่วนมากน้ำมูกจะติดแห้งเกรอะกรังเป็นทางจากริมปากตลอดแก้มทั้งๆ ที่เรากระโดดน้ำตลอด ดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานแทบทุกวัน แต่ก็ยังไม่สะอาดนานๆ ผู้ใหญ่เห็นมอมนักก็เรียกเอาตัวไปอาบน้ำขัดถูคราบขี้ไคลเช็ดขี้มูกสักครั้งหนึ่ง ใช้ผ้าขัดแรงๆ ตามซอกใบหูต้องร้องอุยๆ เพราะเจ็บนี่เป็นชีวิตของเด็ก จำความได้ที่เราเติบโตด้วยกัน ผู้ใหญ่ทำอะไรให้เราเหมือนกัน เรารักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง มีอัฐแบ่งกันใช้ซื้อขนมแบ่งกันกินเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อนก็เป็นคนดีมีศีลธรรม เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ใครตกยากก็ช่วยเหลือ ภายหลังเราต่างย้ายที่อยู่ตามสภาพชีวิตห่างไกลกันออกไปคนละตำบล ข้าพเจ้ายังจำชีวิตเก่าเมื่อครั้งเป็นเด็กๆ ได้อย่างไม่รู้ลืม ข้าพเจ้าจำหน้าเพื่อนตลอดจนกริยาท่าทางและน้ำเสียงที่พูดได้ดี แม้จนกระทั่งนิสัยใจคอ และความประพฤติของเพื่อน ทั้งๆ ที่เราไม่ได้พบกันนับสิบๆ ปีแล้วก็ดี
ข้าพเจ้ารำพึงในใจว่า “โธ่ เพื่อนเอ๋ยยามป่วยก็ไม่เห็นหน้า ยามตายก็ไม่รู้ข่าว” ทันใดนั้นเหมือนมีเสียงแย้งขึ้นในความรู้สึกว่า “ก็ลูกเมียเขาไม่รู้จักเรานี่”
ข้าพเจ้ารำพึงต่อไปว่า “คนดีๆ อย่างเพื่อนไม่น่าอายุสั้นเลย” ก็มีคำโต้แย้งขึ้นมาในความรู้สึกว่า “จะคนดีหรือคนชั่วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น” ไม่มีใครสามารถจะอยู่ค้ำฟ้าได้ เมื่อถึงเวลาแล้วจะให้อยู่ต่อไปทำไมเหม็นกลิ่นสาบมนุษย์ใจชั่ว โลกมนุษย์เวลานี้มีความสกปรกโสมม มีความอิจฉาพยาบาทคอยทำลายกัน แข่งอำนาจวาสนาชิงดีชิงเด่น มีความมัวเมาหลงงมงาย “ลืมตัวลืมตายไม่มีศีลธรรม” โลภไม่สิ้นสุด หนาแน่นไปด้วยกิเลสตัณหามากขึ้น ทุกวันนี้เราพ้นจากการเบียดเบียนของมนุษย์มาอยู่ในแดนสงบสุขได้ก็เหมือนหนีร้อนมาพึ่งเย็น
ดูซิ !! ซากที่นอนเรียงรายเป็นทิวแถวในบริเวณสุสานป่าช้านี้ ใครบ้างได้มีโอกาสขนทรัพย์สินเงินทองที่กอบโกยเพราะความโลภไม่รู้พอติดตัวไปได้ มองดูพิจารณาดูให้ดี มีแต่กรรมดี และกรรมชั่วที่ตนได้ประกอบขึ้น เมื่อยังมีวิตอยู่ที่จะนำวิญญาณไปสู่สุคติหรือทุคติ คนทำความดี สร้างกุศลบารมีเป็นเสบียงในโลกหน้าก็สบายใจ คนทำชั่วสร้างบาปก็ต้องรับกรรมใจไม่สบาย จำไว้อย่าอิจฉาคนที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายที่มาไม่สุจริต เป็นของร้อนมันคอยเผาผลาญความรู้สึกทางจิตใจ เมื่อตายก็ต้องไปใช้หนี้กรรม
ความรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นต่อหน้า “กุฏิศพ” ของเพื่อน ทำให้ข้าพเจ้าลืมตัวขาดสติคล้ายคนบ้า อยากจะตะโกนออกมาว่า “เกิดมาทำไม” และเพื่ออะไรกัน หวังอะไรกัน มีแต่ทุกข์คอยแก้ปัญหาชีวิตไม่รู้จักจบสิ้น ไม่ช้าก็ต้องตายเหมือนกันหมดทุกคน
แต่แล้วก็มีความรู้สึกแย้งแทนเข้ามาว่า “เกิดมาตามกฎแห่งกรรม เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ต้องอยู่สู้ต่อไปเพื่อสร้างความดีจำไว้นะ เราต้องอยู่สร้างความดีหวังบารมีเพื่อชาติต่อไปเป็นทางจะนำไปสู่เหนือความทุกข์เหนือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ สิ้นชาติ สิ้นภพไม่ต้องมาเกิดให้ได้รับความทุกข์อีกต่อไป”
ต่อมา ความรู้สึกของข้าพเจ้าก็คืนสู่ปกติ คล้ายเผลอตัวไปชั่วขณะหนึ่ง ได้ยินเสียงคล้ายเพื่อนมาโต้ตอบในความรู้สึกไม่ทราบว่าข้าพเจ้ายืนหน้ากุฏิศพของเพื่อนนานเท่าใด พอรู้สึกตัวก็บอกลาซากเพื่อนอยู่ในใจ ดีแต่บริเวณนั้นไม่มีใครอยูใกล้ มิฉะนั้นคงมีใครเห็นว่า ข้าพเจ้าได้แสดงกิริยาแปลกๆ ตลกให้เขาเห็นโดยไม่รู้ตัว
พอดีสักครู่หนึ่ง มีคนแบกหีบศพเข้ามาในสุสานมีคนแต่งตัวไว้ทุกข์เดินตามมามากพอสมควร แล้วทำพิธีบรรจุหีบเพลงในช่อง “กุฏิศพ” ซึ่งเขาได้จัดเตรียมไว้แล้ว เมื่อผู้ที่ไปในงานเอาก้อนดินห่อกระดาษและดอกไม้ธูปเทียน วางลงบนหีบทั่วทุกคนแล้ว ไม่ช้าเขาก็จะก่ออิฐโบกปูนปิดช่อง เตรียมหินอ่อนจารึกชื่อโบกปูนติดไว้ แต่ข้าพเจ้ากลับก่อนที่ก่ออิฐ ถือว่าหมดพิธีเพียงเคารพศพแล้วมีหลายคนที่เป็นญาติผู้หญิงของผู้ตายร้องไห้อาลัยรัก เพราะได้อัดความทุกข์หนักไว้ในใจ จึงต้องระบายออกมาทางน้ำตาด้วยการร้องไห้เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังอยูในกิเลสตัณหาทั่วไป
เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้านในเย็นวันนั้น ก็ได้สั่งให้แม่บ้านเตรียมเครื่องถวายสังฆทานพร้อมทั้งอาหารคาวหวาน ตั้งใจจะจัดถวายพระในวันต่อมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนที่ล่วงลับไปแล้ว นี่แหละชีวิต บางครั้งก็มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในความรู้สึกเหมือนเป็นโรคเส้นประสาท แต่ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าสติดีทุกอย่างจึงเป็นเรื่องที่น่าคิด
..................... เอวัง .....................