เฟิง เจียเหม่ย ในมณฑลชานสี ทางตอนกลางของประเทศจีน ลักลอบไปทำแท้งเถื่อนโดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่งให้ความช่วยเหลือ ขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน
เธอถูกบังคับให้กระทำเช่นนั้น เนื่องจากเธอไม่มีเงินพอจ่ายค่าปรับสำหรับการมีบุตรคนที่ 2 ซึ่งสูงถึง 20,000 หยวน นโยบาย “บุตรคนเดียว” ของรัฐบาลจีน เป็นปัจจัยที่บีบบังคับให้สตรีต้องไปทำแท้ง ซึ่งถูกปฏิเสธเสมอมา
หน่วยงานด้านวางแผนครอบครัวของจีนทั้งจากส่วนท้องถิ่นและส่วนกลาง กำลังสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว
เรื่องราวของนางเฟิง แสดงให้เห็นว่า นโยบายบุตรคนเดียวของจีน ยังคงสร้างความรุนแรงต่อสตรีทุกวัน นางเผิง และนายเติ้งจีหยวน สามีเผยว่า ภรรยาของเขาถูกบังคับให้ไปทำแท้งที่โรงพยาบาล และถูกกักขังตัวก่อนที่จะลงมือ
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ไม่เปิดเผยชื่อ ที่อ้างว่าไม่ได้บังคับให้เธอไปทำแท้ง แต่ผู้เสียหายสมัครใจเอง ญาติของทั้งสองเผยว่า ทั้งสองคนไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง
ยืนยันความถูกต้องของภาพถ่ายที่ถูกโพสต์ลงในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นภาพของนางเฟิง นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล โดยข้างๆ เป็นร่างไร้วิญญาณของทารกที่โชกไปด้วยเลือด
มีผู้แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ข่าว netease.com ว่า การกระทำที่เลวร้ายเช่นนี้มีแต่ญี่ปุ่นและนาซีที่ทำได้ แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้ว และคงไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก คนที่กระทำผิดสมควรถูกประหารชีวิต
เว็บไซต์โกลบัล ไทมส์ มีผู้แสดงความเห็นว่า การบังคับให้ทำแท้งเมื่อสตรีมีอายุครรภ์มากเป็นสิ่งที่สมควรประณามและต้องยก เลิก แต่นั่นไม่ควรถูกนำเป็นเหตุผลเพื่อนำมาหักล้างนโยบายบุตรคนเดียวทั้งหมด
จีนริเริ่มนโยบาย “บุตรคนเดียว” ในช่วงปลายยุค 1970 เพื่อควบคุมจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปัจจุบันประชากรจีนพุ่งสูงกว่า 1.3 พันล้านคน