บางทีคำตอบที่เราได้รับอาจจะต่างกัน หรือต่างกับความคิดของตัวเอง
หรือต่างจากคนส่วนมากในสังคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคำตอบที่ได้รับจะต้องผิดหรือถูก
อาจจะถูกทุกคำตอบเลยก็ได้ เพราะแต่ละคนเกิดมาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน
การเลี้ยงดูต่างกัน มุมมองในสิ่งต่างๆ และความคิดอ่านก็ต่างกันเป็นธรรมดา
ฉะนั้น เวลาเราฟังอะไรมา ก็ควรที่จะเปิดใจรับฟังและไตร่ตรองให้ดีก่อน ว่าเหตุผล
หรือสาเหตุของคำตอบมาจากไหน...แล้วทุกคนก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท
จะได้รับ เงินทอนเท่าไร
เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า 7 บาท แต่มีเด็ก 2 คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
คนหนึ่งตอบว่า 2 บาท
อีกคนหนึ่งตอบว่า ไม่ต้องทอน
ครูถาม เด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท
คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขา สำหรับเงิน 10 บาทคือ เหรียญห้า 2 เหรียญ
เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท
ถามเด็กคน ที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามี เหรียญบาท 10 เหรียญ
เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น
คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา
โชคดีที่เป็นการ ถาม-ตอบในห้องเรียน
ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบ เป็น ก-ข-ค-ง
เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้าง โจทย์ที่ เสมือนจริง จินตนาการของครู อาจถูกจำกัดเพียงแค่ ตัวเลข
แต่ สำหรับเด็กจินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท
จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท
เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท
เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท
โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน
โลกใน ห้องเรียนทุกคำถาม ส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ
แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ
อย่าตัดสินความผิดของ คนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา