วันยมบาลเยี่ยมเมืองมนุษย์
โดย ปัญญาวาโรภิกษุ (นิกร ไทยรักษ์)เจริญสุข สวัสดีเเด่พี่น้องสาธุชน เเละ พุทธบริษัททั้งหลาย อันดับต่อเเต่นี้ไป อาตมาจะเล่าเรื่องเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่อาตมาได้ประสบมาด้วยตนเอง เกี่ยวกับเรื่อง นรก สวรรค์ เเละ ยมบาลเยื่ยมเมืองมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นเครื่องประกอบในการพิจารณาบาปบุญคุณโทษ เเละโลกวิญญาณนั้นมีจริงหรือไม่อย่างไร ดังต่อไปนี้
นายนิกร ไทยรักษ์ เป็นชื่อของอาตมาเอง
ก่อนที่อาตมาจะได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระพุทธศาสนานั้น
เมื่ออาตมาอายุได้ 23 ปี ได้อาศัยอยู่กับ บิดามารดาของอาตมา ชือนายทอง เเละนางช่วน ไทยรักษ์ ณ บ้านเลขที่ 53 หมู่ 1 ตำบลป่ากอ อำเภอเมือง จังหวัด พังงา มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน เป็นหญิง 3 คน เป็นชายอีก 3 คน
วันเสาร์วันหนึ่งของเดือนมีนาคม พ.ศ 2510 นั้นเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ซึ่งอาตมาจะเล่าต่อไป
เเต่ก่อนที่จะมาถึงวันนั้นสองสามวัน
พี่ชายของอาตมา ซึ่งได้ไปหักล้างถางพงทำสวนกัน อยู่ที่จังหวัดกระบี่ได้มาชวนอาตมาให้มาอยู่ด้วยกัน เพราะเห็นว่าอาตาไม่มีงานทำเป็นล่ำเป็นสัน
เเต่อาตมาไม่อยากจากบ้านเกิดเมืองนอนไป อยู่ที่เเดนป่าดงพงทึบ อันเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ ประกอบด้วยที่อาตมาไม่ค่อยถูกอารมณ์ กับพี่ชายคนนี้ วันหนึ่งเราพูดกันไม่ถึงสิบคำ อาตมาจึงปฏิเสธที่จะไปอยู่กับพี่ชายคนนี้
พี่ชายก็ยังคงหาทางที่จะพาอาตมาไปให้จนได้ อาตมาไปปรึกษาพ่อเเม่เเละพี่น้องคนอื่นๆ ทุกคนเเล้วต่างก็อยากให้อาตมาไปอยู่นั่นเอง อาตมาเลยคิดน้อยเนื้อต่ำใจ เเละตกลงใจตามประสาคนคิดสั้นๆว่าตาย ดีกว่าอยู่ที่จะต้องไปอยู่กับพี่ชายที่มีเเต่ปัญหา คิดทบทวนอยู่ว่า เราจะตายแแบบไหนดี คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราต้องกินยานอนหลับดีกว่า
เมื่อ เเน่ใจอย่างนั้นเเล้ว อาตมาก็ไปเที่ยวหาซื้อยานอนหลับอยู่สองวัน ได้ยารวมทั้งหมดสิบห้าเม็ด คิดว่ายาเพียงเท่านี้ยังไม่เเน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ เลยซื้อยาเเอสโปรเเถมเข้าไปอีก สิบเม็ด เมื่อซื้อยาเรียบร้อยเเล้ว
อาตมา ยังมีเงินสดเหลืออยู่กับตัวอีกสามร้อยบาท ก็นึกในใจว่า ไหนๆเราก็จะตายเเล้ว เงินจำนวนนี้อย่าให้เหลือไว้อีกเลย ซื้อของไปฝากพี่น้อง เเละพ่อเเม่ผู้มีพระคุณ เเละทำบุญเสียดีกว่า วันนั้นอาตมานึกถึงเเต่เรื่องทำบุญ ความจริงเเล้วอาตมาไม่สนใจเรื่องทำบุญสุนทานเลย โดยที่ครั้งก่อนๆมา ถ้าไปวัดกับเขาบ้าง ก็ไปอย่างนั้นเเหละ คือไปเที่ยวเเบบคนหนุ่มๆ เข้าใจว่าได้บาปมากกว่าได้บุญ เพราะไม่ใช่ไปวัดเพื่อทำบุญ ไม่ชอบเข้าใกล้พระเลย
เมื่ออาตมากลับถึงบ้าน
ก็นำของที่ซื้อติดตัวไป ให้พ่อเเม่พี่น้อง เเล้วเลยไปถวายพระที่วัด ทุกคนต่างพากันประหลาดใจในอาตมา ที่มีใจเอื้อเฟื้อเเละใจบุญเป็นพิเศษในวันนี้ เเต่ทุกคนหาได้เฉลียวใจไม่ว่าอาตมากำลังเตรียมตัวจะจากพวกเขาไปเสียเเล้ว
เพราะอาตมาไม่ได้เเสดงอาการอย่างใดๆ ให้ใครเห็นตลอดเวลา
พอตกตอนเย็น ก็จัดการเอายาทั้งหมดไปกินหลังบ้าน ตอนนี้ใจคออาตมาเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างกินยาไปพลางร้องไห้ไปพลางจนน้ำตาเเทบเป็นสายเลือด เเต่ก็กัดฟันกินจนหมด 20 เม็ด ยังเหลือเเอสโปรอีกเพียงห้าเม็ด อาตมาได้ทิ้งไปเพราะกินไม่ลงอีกเเล้ว ตอนนี้ใจคอของอาตมาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกว่า สับสนกระวนกระวายทรมานใจ จนบอกไม่ถูก
ใน ที่สุดนึกอยากเข้าไปกราบเท้าคุณเเม่ เพื่อจะอำลาครั้งสุดท้าย จึงเอาผ้าเช็ดน้ำตาเเล้วเดินออกไปข้างนอก เเต่ไม่กล้าทำตามที่คิดไว้ เพราะเกรงความลับจะถูกเปิดเดี๋ยวจะไม่ได้ตาย ก็กลับไปเขียนจดหมาย
จดหมายลาตาย ที่ห้องนอน ในวันสุดท้ายของลูก
กราบเท้ามายังคุณพ่อคุณเเม่ผู้บังเกิดเกล้า
เเม่จ ๋า ชาตินี้ลูกขอลาไปก่อน เเม่คงไม่รู้เลยว่า ลูกคนหนึ่งของเเม่ต้องทนทุกข์ทรมานดวงใจเเทบจะขาด ที่อีกไม่มีนาทีข้างหน้าลูกจะต้องจากเเม่ไปเเล้ว ไปอย่างไม่มีวันกลับ ลูกอยากจะเข้าไปกราบอำลาเเทบเท้าแม่ เเละอยากจะเห็นหน้าเเม่ก่อนที่จะสิ้นใจตาย เเต่ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้ เเม่จ๋าลูก บุญน้อยเหลือเกินที่จะได้เห็นหน้าเเม่ต่อไป ลูกกราบลาเเม่ลงเเทบเท้าเเนบมากับจดหมายฉบับนี้ด้วยนะ เเม่ชาตินี้ลูกบุญน้องมิได้ตอบเเทนบุญคุณเเม่ ลูกขอตั้งสัตย์อธิฐานว่า หากลูกได้เกิดชาติหนึ่งชาติใดก็ขอให้เป็นลูกเเม่ผู้มีพระคุณ เเละขอรับใช้ท่านผู้มีพระคุณทุกๆชาติด้วยเถิด ขอให้คุณเเม่เเละพี่น้องที่อยู่ข้างหลังจงมีเเต่ความสุขความเจริญต่อไป ส่วนลูกเเล้วเเต่บุญเเต่กรรมจะนำไป ลูกอยากจะเขียนจดหมายให้เเม่อีกมากมาย เเต่ว่า เวลานี้ดวงตาของลูกนี้ ฝ้าฟางเต็มไปด้วยน้ำตาหมดเเล้ว สุดที่จะเขียนต่อไปได้อีกเเล้ว จึงขอกราบลาคุณเเม่ผู้การุณเพียงเท่านี้นะเเม่
ขอลาเเม่ชั่วชีวิต จากลูกน้อยผู้อาภัพ
เมื่อ เขียนจดหมายเเล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเเล้วก็จัดหาดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระตาม ธรรมดา เเต่ก่อนอาตมาไม่เคยไหว้พระที่บ้านเลย เมื่อเเม่เห็นอย่างนั้นท่านก็เเปลกใจมากๆ เเต่ก็ไม่ได้ไถ่ถามเเต่ประการใดๆ ตอนนี้ยาที่กินเข้าไปเริ่มเเสดงอาการบ้างเเล้ว อาตมารู้สึกสั่นสติฟั่นเฟือนจำอะไรไม่ค่อยได้ ไหว้พระไม่ถูก ได้เเต่ตั้งนะโม 3 จบ ก็เป็นอันว่าได้ไหว้พระเสร็จเเล้วก็เอาดอกไม้สามดอกผูกติดรวมกับธูปเทียน เพื่อเอาไว้ถือ เพราะเคยเห็นคนใกล้ตายเขาทำอย่างนี้กัน ตอนที่เอายาไปกิน เป็นเวลาราว 18 นาฬิกากว่าๆใกล้จะ 19 นาฬิกา ซึ่งตอนเข้านอนก็ 20 นาฬิกา กว่าๆ ก่อนจะนอนได้ระลึกขึ้นว่า ขอเดชะพระพุทธคุณพระธรรมคุณพระสงฆ์คุณ คุณบิดามารดาเเละครูบาอาจารย์ ตลอดทั้งผู้เป็นใหญ่มี พระอินทร์ พระพรหม พญายม เเละพระกาฬอีกทั้งสิ่งศักสิทธิ์ เเละผู้มีพระคุณทั้งหลายเมื่อ ข้าพเจ้าสิ้นชีวิตไปแแล้ว ขอพระคุณท่านจงโปรดมาช่วยนำวิญญาณข้าพเจ้าไปที่สุขที่ชอบด้วยเถิดครับ ขอเดชะบารมีท่านั้งหลายจงรับรู้ในความดีที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมอบรมไว้ในชาติ นี้ จงมาเป็นกุศลผลบุญให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดในที่พึงปารถนาที่ชอบด้วยเถิด
เมื่ออธิฐานเสร็จก็ล้มตัวลงนอนเเละ คิดว่าต่อไปนี้ ไม่มีอะไรจะช่วยเราได้นอกจากพระ เมื่อคติได้ดังนั้นเเล้ว ก็ภาวนาขึ้นว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ ๆ อย่างนี้ตลอดไป มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจนั้น ก็เวลาประมาณ 21 นาฬิกาเห็นจะได้
ภาย ในหัวอกเสมือนว่ามีใครเอาหินมาตั้งทับไว้ รู้สึกว่าหนักไปหมดไปทั้งตัว กรามทั้งสองข้างขบเเน่น น้ำลายไหลออกเป็นฟองออกจากปากทั้งสองข้าง เเละเหงื่อออกทั้งตัวเเละจมูกเหมือนมีใครมาบีบไว้
เเต่คำบริกรรมว่า พุทโธ พุทโธ ใจยังไม่ลืม
หายใจได้สองสามครั้งเเล้วก็หยุดหายใจทันที
คล้ายๆกับว่าหลับไปอย่างนั้นเเหละ
เเต่ถ้าหากว่าเราหลับไปจริงๆเเล้วฝัน เราก็จะไม่เห็นร่างกายเนื้อของเรานอนอยู่
เเต่ทว่าอาตมาเองพอสิ้นลมหายใจสักสองนาที
ก็เป็นวิญญาณออกมายืนอยู่ทันที
เเต่ตอนที่วิญญาณรอออกจากร่างนั้น
ก็ไม่ทราบว่าออกมาได้อย่างไร เเละออกมาตอนไหน
สภาพวิญญาณต่างมิติ
สภาพ วิญญาฦณที่ออกจากร่างมายืนอยู่นั้นเเตกต่างจากร่างจริงมากาย เสื้อผ้ากางเกงไม่มีจะนุ่งจะใส่เลย มีเเต่ผ้าพันเอวประมาณสักหนึ่งคืบเเละสกปรกเต็มที่ ดูร่างกายร่อนจ่อน ผมเผ้ารุงรักคล้ายกับอสูรการที่มาจากนรก
(ความ จริงเเล้วร่างเดิมของอาตมาตอนที่กินยา เข้าไปเเล้วเข้านอนนั้นได้ผลัดเสื้อผ้าใหม่ เเต่งตัวเรียบร้อยที่สุดอย่างที่เขาเเต่งให้คนเมื่อใกล้ตาย) ในมือวิญญาณนั้นยังคงถือดอกไม้ธูปเทียนเหมือนอย่างเดิม ปากก็ยังบริกรรมภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ อยู่อย่างเดิม ซึ่งก่อนที่จะสิ้นใจยังนึกห่วงเเม่ห่วงพี่น้องห่วงข้าวของทุกอย่าง เเต่พอมาเป็นวิญญาณเเล้วไม่ห่วงอะไรเลย วิญญาณของอาตมายืนดูร่างกายเนื้ออย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เเล้วจ ึงเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน ตามธรรมดานั้นเวลาที่ เราจะเข้านอนตอนกลางคืนจะปิดประตูเรียบร้อย เเละเป็นเดือนมือเพราะเป็นข้างเเรม เเต่การที่วิญญาณเดินออกประตู้นั้นเหมือนกับเดินทะลุไปเฉยๆ โดยที่ไม่ต้องเปิดประตูเลย เเละว่าไม่มืดไม่สว่าง พอ เดินพ้นจากห้องมาถึงหน้าบ้าน ก็หันหน้าเดินไปทางทิศใต้ ที่เเรกออกจากบ้าจำได้ทุกตอนว่าที่ตรงนั้นเป็นสวนคนนั้น ที่ตรงโน้นเป็นสวนของคนโน้น เเต่พอนานเข้าจำไม่ได้เเล้ว เเละอาการของวิญญาณที่เดินไปนั้น ดูเหมือนว่าเท้าทั้งสองนั้น ไม่ถึงพื้น เเต่ไม่ใช่เหาะเหินเดินอากาศ คือ ีสภาพอย่างที่เขาว่าล่องลอย เเต่คำบริกรรมว่า พุทโธ พุทโธๆ ก็ยังบริกรรมภาวนาเรื่อยไปโดยไม่ลืมเลย
เปลือยกายเพราะไม่ได้ทำบุญด้วยผ้า
ต่อ จากนั้นวิญญาณก็เดินต่อไป จนเข้าป่าอีกเเห่งหนึ่งไม่สู้ใหญ่นัก พ้นจากป่านั้นเเล้วก็ได้พบถนน พอเดินไปตามถนนอีกไม่ไกล ก็ถึงตลาดเเห่งหนึ่งมีคนากมายขายของนานาชนิด เเต่ทว่ารถเรือไม่มีเลย โดยคนส่วนมาเเต่งตัวคล้ายเเขก มีผ้าโพกศรีษะ ส่วนผู้หญิงก็มี ผ้าคลุเเละผ้าห่ม ตอนนี้วิญญาณของอาตมารู้สึกละอายเป็นอย่างมากที่ต้องเปลือยกายเปล่า เมื่อ เทียบกับพวกเขาเหล่านั้นที่ประดับประดาด้วยอาภรณ์อันสวยงาม เเต่เเล้วเราก็จำต้องเดินก้หน้าไม่พูดไม่จากับใครๆพอใกล้จะพ้นจากตลาดนั้น ก็พบเเม่ค้าเเก่นั่งอยู่สามคน
วิญญาณของอาตมาเลยถามขึ้นว่า "เเม่ค้าครับ ทำไมผมจึงมีผ้าใช้นุ่งเพียงเป็นผ้าเล็กๆอยู่อย่างนี้"
เเม่ค้าคนหนึ่งตอบว่า " คุณไม่ต้องเเปลกใจเลย ถึงจะนุ่งห่มผ้าาให้ดีอย่างไร ตอนก่อนตาย เมื่อมาถึงที่นี่ก็เอามาไม่ได้ดอก"
ถ้าหากว่าอยากเเต่งตัวให้ดีๆงามๆ ตอนมีชีวิตอยู่ต้องทำบุญทำทานด้วยผ้ามาก่อน เเล้วจึงจะได้อานิสงส์มีผ้านุ่งงามๆ ที่นี่"
อาตมาก็นึกขึ้นได้ทันที่ว่า "เป็นความจริง"
เมื่ออาตมาอยู่เมืองมนุษย์ไม่เคยทำบุญด้วยผ้า
อานุภาพพุทโธพาพ้นภัย
เมื่ออาตมาหายสงสัยเเล้ว ก็เดินทางต่อไปจนถึงป่าใหญ่เเห่งหนึ่ง ป่านี้รู้สึกว่ารกหน่อย เเต่ไม่ถึงกับเดินลำบาก ในป่านี้มีสัตว์ร้ายนานาชนิด เเต่พอเห็นอาตมาก็พากันหนีไป เพราะอาตมาภาวนาคำ"พุทโธ พุทโธ..." ไม่เคยลืมสักเวลาเดียว ไปอีกไม่ไกลก็มีกวางตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้าอาตมา พอกวางพ้นไปเเค่ประเดี๋ยวเดียว ก็มีพรานป่าถือธนูหน้าไม้ไล่ตามหลังมา เเต่พอเหลือบมาเห็นอาตมาก็ทำท่าว่าจะยิงอาตมา พร้อมด้วยขู่สำทับด้วยเสียงอันกังวาลว่า "อย่าหนีนะ อย่าหนีนะ ให้เราจับเสียดีดี ถ้าขืนหนี เราจะยิงนะ" อาตมาในสภาพวิญญาณต้องหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น เพราะความกลัว นายพรานจึงเข้าาหาอาตมา รวบมือทั้งสองข้าง เเละตีด้วยไม้ขนาดเท่าข้อมือลงบนหลังสามสี่ทีจนเห็นว่าอาตมาไปไหนไม่ได้ เเล้วก็หยุดตี จึงไปหาเชือกมาเส้นหนึ่งโตเท่านิ้วก้อย ผูกที่คออาตมาลากพาไปที่ไหนก็ไม่ทราบ
ตอนนี้ อาตมาในสภาพวิญญาณนั้น ก็ยังรู้สึกกลัวตายขึ้นมาอีก ทั้งๆที่ตายอยู่เเล้วนั่นเอง
อาตมาจึงพยายามหาทางเอาตัวรอด นึกขึ้นมาได้ทันที่ว่า ไม่ มีที่พึ่งอันใดได้ดีกว่าพระพุทธเจ้าอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาก็ภาวนาดังๆขึ้นว่า พุทโธ พุทโธ ขอองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจงมาช่วยลูกด้วยเถิด นายพรานเขาตีลูกทั้งๆที่ลูกม่ได้ทำผิดต่อเขาด้วยประการใดเลย ด้วยลูกเจ็บปวดเหลือเกิน ลูกหมดที่พึ่งเเล้ว ขอพระองค์ท่าน จงมาช่วยลูกด้วยเถิด ว่าเเล้ว ก็ภาวนาพุทโธต่อไปอีก
พอ อาตมาว่าอย่างนั้นไม่กี่ครั้ง ก็ปรากฏว่าภาพของพระพุทธเจ้าเสด็จลอยมาทันที ภาพนั้นยังคงลอยอยู่ในอากาศ เสด็จยืนอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์เบื้องขวานั้นทรงยกขึ้น พระหัตถ์ซ้ายทรงปล่อยลงมาข้างตัว ภาพนั้นลงมาขวางหน้ารายพราน เมื่อนายพรานเห็นดังนั้นเเล้ว ก็รีบปล่อยวิญญาณของอาตาทันที เเล้ววิ่งหนีเข้าป่าไป เมื่ออาตมาได้เห็นพุทธปาฏิหารย์ปานฉะนี้ก็ยกมือขึ้นไหว้ ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ไม่ลืมเลือน เมื่อ นายพรานไปแล้วอาตมาก็เเก้เชือก ที่พันธนาการออกไปเเล้วก็พยายามเดินต่อไป เเต่เดินต่อไปได้ไม่ไกล ก็ต้องนั่งพักด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวจากการที่ถูกนายพรานเข้าตีนั้น
เรือสวรรค์พาเที่ยวเมืองเทวดา
อาตมานั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ตามองเหม่อไปรอบๆ อย่างคนสิ้นคิด หมดหนทางที่จะทำอะไรต่อไปอีก ทันใดนั้นได้เหลือบเห็นอะไรอย่างหนึ่ง มีเเสงสีเขียวเหมือนสายรุ้งรัศมีโชติช่วง ลอยอยู่ในอากาศอันสูง เเล้วก็ค่อยๆลอยต่ำลงมาจนถึงที่วิญญาณอาตมานั่งอยู่ พอมาถึงใกล้ๆอาตมามองเห็นอย่างถนัดตาว่า เป็นเรื่อยาววาเศษ รอบลำเรือประดับด้วยเพชรนิลจินดา มีเเสงเเทงตาเป็นประการเเพรวพราว เเสนสวยดุจเทพเจ้าเสกสรรค์ เเละหางท้ายเรือมีคนนั่งอยู่หนึ่งคล้ายนายท้ายเรือ พอเรือนั้นหยุดนิ่ง คนที่นั่งท้ายเรือพูดขึ้นว่า "นี่คุณ เทวดาเชิญให้คุณขึ้นไป เที่ยวบนสวรรค์ เราเอาเรือมารับเเล้ว " เมื่ออาตมาได้ยินดังนั้นก็เเสนจะดีใจ อาตมารีบลุกขึ้นนั่งบนเรือทันที พอนั่งบนเรือความเจ็บปวดที่ถูกนายพรายโบยตีก็หายไปจนสิ้น รู้สึกว่าความสุขมากอย่างที่สุดในชีวิตเพียงนั่งเรือสวรรค์เท่านั้น ถ้าไปเเล้วเห็นสวรรค์เข้าจริงๆ จะมีความสุขวสักเเค่ไหน
เมื่อ นั่งเรือเรียบร้อยเเล้ว เรือนั้นค่อยๆลอยขึ้นไปทีละนิดๆจนพ้นยอดไม้ เเล้วก็ผ่านมาในอากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เเล้วผ่านเข้ามาในเมฆหมอกสีขาวนวลใสๆ ชวนให้มองอย่างสุขใจ ลอยไปจนมองเห็นปราสาทมีเเสงเป็นประกายระยิบระยับดาษดื่นเกลื่อนกลาดทั่ว วิมานนั้น เต็มไปหมดทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง อาตมาบังเกิดความพิศวง หลงใหลเเละเพลินใจอย่างสุดซึ้งยากที่จะหาเเดนใดๆมาเปรียบได้ ดินเเดนอบ่างที่ดีที่สุดในเมืองมนุษย์นั้น ถ้าจะเพิ่มความสวยงามวิจิตรพิศดารให้อีกสักร้อยเท่า พันเท่าก็ยังไม่สามารถมาเปรียบเทียบกับวิมานที่อาตมาประสบอยู่นี้
เมื่อ เรือที่อาตมานั้งมาถึงจุดหมายปลายทาง คือปราสาทหลังใหญ่ที่สวยที่สุด ณ เเดนวิมานนั้น เทวดาที่อาตมาเห็นนั้น นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ห้องที่ประทับนั้นยื่นออกมาข้างนอกีกระจกสามด้าน ด้านหลังเป็นฝาผนัง องค์เทวดานั้นตั้งเเต่คอถึงศรีษะ มีรัศมีพุ่งออกมาประมาณคืบกว่าเเละฉลององค์ด้วยเครื่องเเต่งกายสวยงามมาก
เมื่อ เทวดาเห็นเรือ มาลอยอยู่ตรงหน้าก็ดึงเชือกเคาะระฆังสามครั้ง ระฆังนั้นเป็นระฆังโตเท่าปิ๊บน้ำมันก๊าด พอสิ้นเสียงระฆัง เหล่านางฟ้าชาวสวรรรค์อันเเสนสวยประมาณร้อยกว่านาง ลอยออกมาจากปราสาทต่างๆคล้ายกับเดินในอวกาศ เดินในเมฆหมอก จึงมองไม่เห็นตั้งเเต่ตาตุ่มลงไปว่าเขาใส่รองเท้าหรือเท้าเปล่า
เหล่า นางฟ้าชาวสวรรค์นั้ไม่สวมเสื้อ มีเเต่ผ้าคาดอกเเล้วพาดไปผูกไว้ที่ข้างหลัง เเละมีผ้าบางๆสีสดๆสวยมากพาดเฉวียงบ่า ส่วนผ้านุ่งนั้นไม่ทราบว่าทำด้วยอะไร ดูเเล้วเเวววาวงามระยิบระยับจับตาไปทั้งผืน รูปร่างหน้าตาเนื้อหนังก็สวยจนไม่สามารถบรรยายได้ถูก ยิ่งกว่าภาพวาดอันวิจิตรศิลป์ที่จินตกรเอกได้เขียนไว้ด้วยฝีมืออันเลิศ เนื้อหนังเปล่งปลั่งดั่งดอกประทุมชาติสีชมพูอ่อน เมื่อมากันพร้อมเเล้วก็กระทำอภิวันทนาการ เเล้วร่ายรำทำเพลงเเบบศิลป์ไทยน่าชมยิ่งนัก ส่วนเรือที่อาตมานั่งนั้นมาลอยไปรอบ บางครั้งก็ลอยเข้าไปใกล้เหล่านางฟ้า ที่กำลังร่ายรำซึ่ง ระยะห่างจากอาตมาราวๆเเค่ศอกเเค่คืบเท่านั้น ตอนนั้นวิญญาณของอาตมาอายจนบอกไม่ถูก เมื่อมองดูนางฟ้าเเล้วกลับมามองดูตัวเองที่นั่งพุงเเววอยู่ในเรือ มีผ้านุ่งเพียงผ้าขึ้ริ้วพันกายเเค่คืบเดียว พยายามดึงผ้านั้นมาไว้ที่เบื้องหน้าเพื่อปกปิดความอาย เเต่ในขณะเดียว กันนั้นก็ไม่รู้สึกว่า ไม่มีความสุขใดๆในโลกมนุษย์ที่ใครๆ ได้ประสบพบมา จะมีความสุขเท่าที่เราประสบอยู่ เเต่เพราะบุญญาธิการของเรามีน้อยจึงได้เเต่นั่งอยู่ในเรือ ไม่กล้าลงไปเดินในเเดนสวรรค์อันเเสนสุขนั้น ความจริงตอนนั้นวิญญาณของอาตมารู้สึกมีใจเอมอิ่มกระหยิ่มใจอยากลงจากเรือออก ไปร่ายร่ำกับนางฟ้าเสียให้ได้เต็มทน เเต่ก็ได้จนใจด้วยความอาย จึงได้เเต่นั่งดูเฉยๆ จะถามอะไรก็ไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ ทั้งๆที่อยากจะชวนนางฟ้ามานั่งคุยข้างเรือ ให้สมกับที่ไม่เคยเห็นในชีวิต เเต่ครั้นเเล้วก็เเต่นั่งไม่กล้ากระดุก กระดิกดังตอไม้
เมื่อ หันหน้าไปมองดูเทวดา พระองค์ก็เอกเขนกยิ้มพริ้มพรายอย่างสบายอารมณ์ นางฟ้าก็ได้เเต่ยิ้มเเย้มเเจ่มใสเเละชะม้อยชะม้ายชายตากัน สังเกตุดูองค์เทวดาอย่างผาสุขใจดุจเดียวกัน ถ้าจะคำนวณเวลาที่วิญญาณอาตมามาชมการร้ายรำของเหล่านางฟ้า เทพอัปสรนั้นคาดว่าประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ต่อเเต่นั้น นางฟ้าก็ได้ทยอยกันกลับหลังหันลอยไปยังปราสาท ของตนทีละนางสองนางจนหมดสิ้น โดยไม่เหลียวมามองอาตมาสักนางเดียว ทำให้เรามองตามจนสุดตาอย่างอาลัย เมื่อเหล่านางฟ้ากลับสู่สถานทิพย์พิมานของเเต่ละนางเเล้ว เรือที่อาตมานั่งก็ลอยมาอยู่หน้าพระพักตร์ของเทวดาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเทวดาเห็นอย่างนั้นก็สั่งคนที่อยู่ท้ายเรือว่า
"พาเขาไปส่งได้เเล้ว"
เมื่อ วิญญาณได้ยินดังนั้นก็สุดเเสนจะเสียดายอาลัยไม่อยากกลับ เเต่นึกในใจว่าวาสนาของเรายังน้อยเพียงเเค่ได้เห็นเท่านี้ก็เป็นบุญตาเเล้ว อาตมานั่งถอนใจใหญ่เเละดูโน่นดูนี่ไปรอบๆ เพื่อจดจำเป็นขวัญตาขวัญใจ เพียงประเดี๋ยวเดียว เรือก็ค่อยๆลอยลดต่ำลงมาถึงยอดไม้ เเล้วก็หยุดนิ่งที่โคนต้นไม้เดิม ก่อนที่อาตมาจะขึ้นไปนั่นเอง อาตมา ก็ลงจากเรือเเล้วเรือลำนั้นก็ลอยกลับสู่สวรรค์ชั้นฟ้าอีก อาตมาองตาจนสุดสายตาด้วยความอาลัย ดั่งใจจะขาดดิ้น วิญญาณอาตาก็เดินทางต่อ คราวนี้รู้สึกว่าเดินสบายกว่าเก่าไม่เจ็บปวดที่ใดเลย เดินไปไม่นานนักก็พบวัดร้างวัดหนึ่ง
พระบอกว่าจะได้บวชเเล้ว
วัดนี้ดูเหมือนไม่มีพระเงียบสงัดไปหมดเลย เเต่ก็มีศาลา วิหาร โรงธรรม ประดับ ประดาเเต่งอย่างสวยงาม รอบๆวัดมีต้นไม้เขียวชอุ่มไปทั้งนั้น พออาตมาเดินมาใกล้วิหารเเล้ว จึงได้เห็นหมู่สงฆ์เดินออกมาจากป่าหลังวิหาร นั้นประมาณสี่ห้ารูป อาตมาเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้เเล้วนั่งกราบที่พื้นอีกครั้ง รูปที่เดินนำหน้าก็นำเข้ามาพยุงเเขนอาตมา ให้ลุกขึ้นยืน เเล้วพาเข้าไปในวิหาร จัดการธูปเทียนบูชาพระเสร็จเเล้ว รุปที่อยู่ข้างหลังก็ออกไปจนหมด เเล้วก็เหลือเเต่รูปที่นำอาตมาเข้ามาในวิหารเเล้วบอกว่า
"ต่อไปนี้คุณจะได้บวชเเล้ว จะได้บวชภายในอีกไม่กี่วันนี้" พูดจบก็เดินออกจากวิหารนั้นลับหายเข้าไปในป่าอีก
เมื่อพระไปกันหมดเเล้วอาตมาก็เดินต่อไป
ชมนรก
อาตมา เดินเข้าป่าเเห่งหนึ่ง ภายในป่านี้ร่มเย็นสบายดี เมื่อจวนจะพ้นป่านี้ อาตมาก็มองเห็นกลุ่มควันอยู่เบื้องหน้าเต็มไปหมด ก็รีบเดินเข้าไปดู เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นอะไรกันเเน่พอเข้าไปใหล้ก็เเลเห็นเป็นเหวลึก ภายในเหวนั้นเป็นกองไฟอยู่หลายเเห่ง ใกล้ๆกองไฟนั้นมองเห็นสิ่งมีชีวิตเดินอยู่เป็นฝูงๆคล้ายๆวัวควาย เเต่ตัวเล็กกว่า มองดูไม่ถนัด เพราะอาตมาอยู่สูง เเละมืดมัวเป็นหมอกควันไปหมด ด้วยความอยากรู้อยากเห็นให้รูนักว่าเป็นอะไรกันเเน่ จึงค่อยๆเดินลงไป ในเหวนั้น คล้ายๆกับเดินลงจากควันสูงๆ พอลงไปถึงก็เห็นว่า เป็นที่ราบกว้างขวางมากคล้ายกับทะเลทราย
พระตกนรก
สิ่งเเรกที่อาตมามองเห็นเป็นฝูงมาเเต่ไกลๆ กำลังเดินผ่านทางที่อาตมายืนอยู่ พอเดินมาใกล้จึงเห็น ได้ถนัดว่า มีรูปร่างอย่างมนุษย์หน้าตาน่าเกลียดอย่างที่สุด ศรีษะโล้น ร่างกายซูบผอมเหลือเเต่หนังหุ้มกระดูก นับจำนวนเป็นพันๆหมื่นๆ เมื่อมนุษย์พวกนี้เดินผ่านไปเเล้ว ก็มีผู้คุมเดินตามหลังสองคนถือสมุดบัญชีเปิดอยู่ตลอดเวลา โดยทั้งสองคนมีผมงอกรุงรังไปหมดทั้งตัว
เมื่อผู้คุมเข้ามาใกล้เเล้วอาตมาจึงถามว่า "พวกนั้นเป็นอะไร"
ผู้คุมจึงตอบว่า "นี่ คือพวกพระที่บวชตัวครั้งที่อยู่ในเมืองนุษย์ จิตใจไม่อยู่ในศีลธรรมฉ้อโกง หลอกลวงชาวบ้าน มาสร้างผลประโยชน์ส่วนตัว ทะเลาะวิวาทในหู่สงฆ์ด้วยกัน เเละคอยรังควานหาเรื่องกับเพื่อนอยู่ตลอดเวลา เมื่อ สิ้นชีวิตจากเมืองมนุษย์ก็ต้องมาตกนรกอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะหมดสิ้นเวรที่ได้กระทำไว้ และต้องไปเกิดมีฐานะลำบากยากจน พูดอะไรขาดคนนับถือเชื่อในคำพูด"
โทษของการฆ่าผู้มีพระคุณ
เมื่อพวกนี้พ้นไปเเล้ว ก็มีอีกพวกหนึ่งตามหลังมา ร่างกายเหมือนมนุษย์ซูบผอม ผมรุงรัง มีเลือดย้อยหลามไหลอาบไปทั้งตัว บางคนตีนด้วนมือด้วน หน้าตาฉีกจนมองเห็นกระดูกหน้าเกลียดมาก มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายโดยมีนายนิรบาลถือหอกถือดาบตีฟันเเทงอย่างที่ไม่หยุดเลย ต่างก็ล้มลุกคลุกคลาน มองเเล้วน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก โดยมีผู้คุมบัญชีเดินตามหลังสองคน พอผู้คุมบัญชีเดินเข้ามาใกล้เเล้ว
อาตมาจึงถามว่า "พวกนี้สร้างกรรมอะไรไว้"
ผู้คุมตอบว่า "นี่ คือพวกฆ่าพ่อเเม่ หรือทารุณโหดร้ายต่อผู้มีพระคุณ ฆ่าพระสงฆ์ ทำลายศาสนา ขณะนี้เรากำลังนำเข้าไปเข้าเครื่องทรมาน พวกนี้ต้องชดใช้กรรมอยู่นาน เพราะสร้างกรรมชั่วไว้มาก เเละถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีเเต่คนทำร้าย หักหลัง ทรยศ คนเราถ้าไม่รู้จักคุณคนก็จะเป็นอย่างนี้"
โทษปล้นฆ่า
ต่อเเต่นั้น ก็ยังมีอีกพวกหนึ่ง ร่างกายเหมือนมนุษย์ เเต่หน้าตาดูไม่ออกว่าเหมือนอะไร น่าเกลียดน่ากลัวมากยิ่งกว่าซากศพในโลงอีก ตามเนื่อตัวพุพอง เน่าเปื่อย มีเลือดเเดงฉานไปทั้งตัว นายนิรบาลถือกระบอกใหญ่ขนาดเเขนไล่ตีคนละทีสองทีไม่หยุดยั้ง ทำให้ต่างก็ร้องไห้ส่งเสียงควรญครางน่าสมเพชเวทนา มีผู้คุมถือบัญชีตามหลังมาสองคน
อาตมาจึงถามว่า "พวกนี้ทำชั่วอย่างไรไว้ จึงต้องมารับกรรมเช่นนี้"
ผู้คุมตอบว่า "นี่คือผู้ชกชิงวิ่งราว ปล้น จี้ ขโมยข้างของคนอื่น เเละทำร้ายเจ้าทรัพย์ ฉ้อโกงเขากิน ฆ่าเพื่อมนุษย์ ไม่ได้บวชเรียน เมื่อสิ้นชีวิตเเล้วจึงต้องมาใช้กรรมอยู่อย่างนี้ ถ้าได้โอกาสเกิดเป็นคนอีกก็จะเจ็บป่วยบ่อยๆ หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินเก็บไว้ยังชีพ ไม่สามารถสร้างฐานะให้มั่นคงได้"
ทำร้ายสัตว์หน้าตาเหมือนสัตว์
เมื่อพวกนี้พ้นไปก็ยังมีอีกพวกหนึ่ง ร่างกายก็เหมือนมนุษย์ หน้าตากลับเหมือนสัตว์ เป็นวัว ควาย หมูม้า บ้างก็เหมือนเป็ด เหมือนไก่บ้าง บางคนดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อะไร เลือดไหลเเดงไปทั้งตัว นายนิรบาลใช้เเส้ เเละไม้เรียวฟาดไม่หยุด มีผู้คุมถือบัญชีตามาสองคน
อาตมาจึงถามว่า "พวกนี้ทำกรรมอย่างไรไว้"
ผู้คุมตอบว่า "พวกนี้ฆ่าสัตว์ ชนวัว ชนควาย ทั้งกัดปลา ชนไก่ ทรมานสัตว์ด้วยวิธีต่างๆ ใจ บาปหยาบช้าไรู้จักบาปบุญคุณโทษ ขาดความเมตตา ทั้งนี้เเล้วเเต่ใครจะทำกรรมอย่างใดกับสัตว์อะไร เมื่อเขาสิ้นชีวิตลงเเล้วมาตกนรก เขาก็จะมีหน้าตาเหมือนสัตว์นั้น เเล้วจะต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรมนั้น"
ตบตีทะเลาะข้ามภพชาติ
ต่อเเต่นั้นก็ยังมีอีกพวกหนึ่ง เป็นหญิงทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาดำเกรียมไปทั้งตัว เหมือน กับถูกไฟเผาทั้งเป็น ผมยาวถึงบั้นเอว รูปร่างเหมือนมนุษย์เล็บยาว ปากฉีก ตาเหล่ บางคนก็ข่วนหน้า บางคนก็ตบหน้ากันเอง ชุลมุนวุ่นวายไม่อยู่นิ่ง นายนิรบาล ถือเหล็กเเดง ยาวประมาณสองศอก หากว่าใครเดินเฉยๆไม่ตบตีกัน ก็ใช้เหล็กเเดงแทงทันทีให้ตีกันต่ออีก ตอนท้ายหยุด มีผู้คุมถือบัญชีตามาสองคน
อาตมาจึงถามว่า " พวกนี้ทำกรรมอะไรจึงต้องาลำบากอยู่อย่างนี้"
ผู้คุมตอบว่า "หญิงพวกนี้เมื่อครั้งอยู่เมื่อมนุษย์ เป็นคนคบชู้ นอกใจสามี ทำเสน่ห์ยาแฝด ด่าพระสงฆ์ ริษยาอาฆาต เบียด เบียนเพื่อนบ้านหาเรื่องทะเลาะวิวาท กับเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ไม่ทำบุญสุนทานเมื่อสิ้นชีวอตจากโลกมนุษย์เเล้ว ก็มาตกนรกอยู่อย่างนี้ ผลกรรมที่ชั่วช้าเลวทรามนั้น จึงทำให้ตัวดำไหม้เกรียมอย่างที่เห็นอยู่ เเละถ้าได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะมีเรื่องให้รำคาญใจอยู่เสมอ"
ยมบาลพิจารณาคดี
นอกจากนี้ยังมรผู้เดินตามหลังอีกหลายพวก เเต่วิญญาณของอาตมารู้สึกกระวนกระวายใจที่จะเดินทางต่อไป ระยะทางที่เดินไปนั้นมองเห็นเป็นควันไปหมด เเละพวกที่เดินอยู่ข้างในก็อีกมากมาย อาตมาจึงเดินทางขึ้นข้างบน เมื่อพ้นจากขุมนรกขึ้นมาก็เริ่มเห็นของเเปลกๆอีก
เห็นเป็นห้องสี่เหลี่ยห้องหนึ่ง ที่หน้าห้องมีโต๊ะตัวใหญ่ เเละมีสมุดบัญชีวางอยู่บนโต๊ะหลายเล่ม ด้านหน้าของโต๊ะ มีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ร่างกายดำ ขนอกรุงรัง ท่าทางน่ากลัวมาก เปิดดูสมุดบัญชีอยู่ตลอดเวลา ด้านข้างโต๊ะยังมีอีกคนหนึ่ง รูปร่างคล้ายคลึงกันนั่งอยู่เฉยๆ เมื่อพ้นจากห้องนั้นเเล้ว ไปอีกประมาณ 3 วา มีต้นโพธิ์ต้นหนึ่งใหญ่โตมากเเละภายในต้นโพธิ์มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง คล้ายรุปปั้นนั่งอยู่ในทางขัดสมาธิ
ขณะ ที่ดวงวิญญาณของอาตมา กำลำยืนดูสิ่งต่างๆอยู่นั้น ก็มีเหตุการณ์น่าหวาดเสียวปรากฏขึ้นมาทันที เมื่อวิญญาณอาตมาเห็นดังนั้น ก็รีบหลบอยู่ที่โคนไม้ใกล้ๆนั่นเอง ภาพที่เห็นคือผู้ชายรูปร่างกำยำสี่คน รูปร่างเหมือนมนุษย์ ส่วนหน้าตาน่าเกรงขามมาก ท่าทางดุร้ายทีสุด กำลังลากผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นอาบุประมาณ 30 ปีหน้าตามอมเเมม เเต่งกายด้วยผ้าเก่าๆ พอมาถึงก็นั่งลงหน้าโต๊
Credit:
พลังจิตดอดคอม