หลังจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 55 ในโลกโซเชียลมีเดียได้มีการนำภาพสาวแดงถือป้ายข้อความว่า “กูมันไพร่ หนักหัวพ่อมึงเหรอ กูไม่รักพ่อมึง ตายมั้ย”
ล่าสุด!!!! พบแล้วสาวเสื้อแดงถือป้ายหมิ่นเหม่ไม่เหมาะสมในที่ชุมนุมราชประสงค์ ที่แท้เป็นชาวอำเภอน้ำพอง จ.ขอนแก่น เผยเป็นกลุ่มเสื้อแดงไม่เอาสถาบัน ร่วมเคลื่อนไหวกับนักศึกษา มข.บางกลุ่มต่อเนื่อง มีสามีเป็นตำรวจสันติบาลที่เชียงใหม่
จากกรณีที่กลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ชุมชนออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย ได้มีการส่งต่อและแชร์ภาพถ่ายของหญิงสาววัยรุ่นใส่เสื้อแดง ถือป้ายข้อความว่า “กูมันไพร่ หนักหัวพ่อมึงเหรอ กูไม่รัก พ่อมึงตายมั้ย” ซึ่งร่วมชุมนุมกับบรรดาเสื้อแดงที่ย่านราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยหญิงคนดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกประณามอย่างรุนแรง เพราะข้อความบนป้ายที่ถือนั้นหมิ่นเหม่ ไม่เหมาะสม
ล่าสุดวันนี้ (21 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หญิงสาวคนดังกล่าวแท้จริงแล้วเป็นชาวขอนแก่น มีชื่อเล่นว่า “อ้อม” พักอาศัยอยู่บ้านท่ากระเสริม ต.ท่ากระเสริม อ.น้ำพอง โดยที่บ้านเปิดเป็นร้านขายของชำ มีสามีและมีลูกแล้ว 2 คน สามีเป็นตำรวจสันติบาลที่จังหวัดเชียงใหม่
จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า สาวเสื้อแดงชื่อ “อ้อม” คนเดียวกันนี้มักจะเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นแทบทุกครั้งที่มีการนัดชุมนุม และเป็นคนเสื้อแดงที่จัดอยู่ในกลุ่มแดงหัวก้าวหน้าขอนแก่น หรือกลุ่มเสื้อแดงไม่เอาสถาบัน มีพฤติกรรมเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันร่วมกับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มาอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มแดงหัวก้าวหน้ากลุ่มนี้มีอาจารย์บางกลุ่มของ มข.ให้การสนับสนุน
สำหรับภาพที่มีการแชร์และเขียนข้อความประนามมากที่สุดเป็นภาพ หญิงสาววัยรุ่นใส่เสื้อแดงถือป้ายข้อความว่า “กูมันไพร่ หนักหัวพ่อมึงเหรอ กูไม่รักพ่อมึง ตายมั้ย” ในขณะที่หลายเว็บไซต์ที่เป็น “กลุ่มแนวร่วมเพจต้านระบอบทักษิณ” ได้ทำข้อมูลตรวจสอบการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในหลากหลายประเด็น อาทิ ขบวนการเสรีไทยเฟสบุ๊ค ได้นำเรื่องหอมแดงเน่าในหลายจังหวัดและการค้างชำระค่าชดเชยให้ชาวบ้านมาประจานด้วย
รวมทั้งยังนำคำพูดของนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ที่มีนโยบายเปลี่ยนแป๊ะเจี๊ยะเป็นเงินบริจาคเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 55 มาทวงถามนางสาวยิ่งลักษณ์ ว่าทำไมจึงปล่อยให้มีนโยบายเช่นนี้จนนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชาถูกตัดสิทธิ์เข้าเรียน