สาวไทยถูกจับที่ประเทศมาเลเซียรอประหารชีวิต 7 คน ขณะที่รอศาลตัดสินโทษเดียวกันอีก 10 คน ซึ่งทางการประเทศมาเลเซียประกาศเอาจริง แรงงานผิดกฎหมาย พร้อมกวาดล้างทุกวันอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเมืองหลวงคือกรุง กัวลาลัมเปอร์ และเมืองอื่นๆ
นายสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ขณะนี้ทางการประเทศมาเลเซียประกาศเอาจริงจับแรงงานต่างด้าว และการทำผิดกฎหมายในประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งขณะนี้คนไทยที่ทำความผิดและถูกจับในประเทศนี้ ด้วยเรื่องยาเสพติด มากเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศไนจีเรีย ล่าสุด ศาลได้ตัดสินประหารชีวิตแล้ว 7 คน เป็นผู้หญิงทั้งหมด และยังรอศาลชั้นต้นตัดสินอีก 29 คน ในเขตกัวลาลัมเปอร์ ส่วนในเขตปีนัง ศาลตัดสินประหารชีวิตแล้ว 4 คน รอคำตัดสินอีก 10 คน ถ้ารวมนักโทษที่ต้องโทษประหารชีวิตทั้งหมดในขณะนี้ ประเทศไทยมีสูงมากเป็นอันดับหนึ่ง
กฎหมายที่ประเทศมาเลเซียแรงมาก ถ้าเป็นการกระทำความผิดเรื่องยาเสพติด มีกัญชา 1 กิโลกรัม หรือยาเสพติดชนิดอื่น 1 กรัม ก็มีโทษขั้นประหารชีวิตได้แล้ว
เหตุที่ผู้หญิงไทยเป็นเหยื่อมาก เพราะผู้หญิงไทยใจอ่อน เชื่อคนง่าย แล้วก็ต้องการมีสามีเป็นชาวต่างชาติ หรือต้องการเข้าไปทำงานต่างประเทศโดยอาศัยชาวต่างชาติ ขณะเดียวกัน ค่านิยมที่สอนให้ลูกหลานแต่งงานกับชาวต่างชาติ ก็ทำให้กลายเป็นปัญหา เพราะผู้หญิงเหล่านี้จะมองหาแต่ฝรั่งแต่งงานด้วย จึงกลายเป็นเหยื่อได้ง่าย เพราะอย่างกรณีของสาวไทยขนยาเสพติดอยู่ที่โน่น แต่งงานกับสามีชาวไนจีเรีย ซึ่งเขายอมลงทุนแต่งงานด้วย เพื่อให้ตายใจ สุดท้ายก็เลยต้องโทษประหารชีวิตเพราะขนยาเสพติดที่โน่น
ปัจจุบันมีคนไทยที่เข้าไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียอย่างถูกกฎหมายประมาณ 8 พันกว่าคน ส่วนที่เข้าไปแบบผิดกฎหมายมีอยู่ประมาณ 1 แสนกว่าคน จึงทำให้เกิดปัญหาและถูกจับอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งจากการที่ได้ช่วยเหลือพบว่า ปี 2553 มีคนไทยที่กระทำความผิดและได้รับการช่วยเหลือมาได้ประมาณ 800 กว่าคน ปี 2554 ประมาณ 500 กว่าคน แต่ในปี 2555 นี้ แค่เพียงต้นปี คือตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มีคนไทยถูกจับกุมไปแล้ว 103 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นเฉพาะในเขตการดูแลของสถานทูต ไม่นับเขตที่อยู่ในความดูแลของสถานกงสุลไทยที่เมืองปีนังและโกตาบารู ส่วนใหญ่ถูกจับกุมในข้อหาทำงานผิดกฎหมาย ทั้งเป็นหมอนวด ค้าประเวณี โคโยตี้ นั่งชัวโมงในบาร์หรือคอกเทลเลาจน์
คนไทยเหล่านี้พอถูกจับก็อับอายไม่กล้าบอกชื่อ-นามสกุลจริง แก่เจ้าหน้าที่สถานทูต ยิ่งทำให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยุ่งยากขึ้นไปอีก เนื่องจากการเข้าเยี่ยมนักโทษหรือการติดต่อประสานงานกับทางการมาเลเซียจะ ต้องแจ้งชื่อ-นามสกุลจริงของผู้ต้องหาเท่านั้น
อยากฝากเตือนไทยว่า ขณะนี้ประเทศมาเลยเซียเอาจริงกับการกวาดล้างแรงงานต่างด้าว และเรื่องการทำผิดกฎหมายและโทษรุนแรงมาก ดังนั้น ควรคิดให้ดีก่อนที่จะหลงเชื่อคำชักชวน หรือตั้งใจทำความผิด อย่าเดินทางเข้าไปทำงานผิดกฎหมายทุกประเภทในประเทศมาเลเซีย อย่าเชื่อนายหน้าที่อ้างว่าจะหาใบอนุญาตทำงานให้ภายหลัง โดยเฉพาะงานนวด โคโยตี้ นักร้อง นั่งเชียร์ดื่ม ฯลฯ การทำงานอย่างถูกต้องในมาเลเซียจะต้องได้รับเอกสารยืนยันการอนุญาตให้ไปทำ งาน (Calling Visa) จากสถานทูต/สถานกงสุล ของมาเลเซียในไทย โดยนายจ้างจะต้องเป็นผู้ดำเนินการอย่างถูกต้องเท่านั้น
การเดินทางเข้ามาเลเซียโดยการยกเว้นวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว แต่เข้า-ออกหลายครั้ง ครั้งละ 30 วัน หรือการใช้ใบผ่านแดนเข้ามาเลเซียเกินกว่า 25 กิโลเมตร ท่านจะถูกสงสัยว่ามีเจตนาทำงานผิดกฎหมาย และอาจถูกจับกุมได้ง่าย อย่าชะล่าใจว่าท่านมีวีซ่าอยู่
การเดินทางท่องเที่ยวตามสถานบันเทิงหรือแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะในเวลากลาง คืน ให้ระมัดระวังคนต่างชาติโดยเฉพาะชาวแอฟริกันที่อาจพยายามตีสนิททำความรู้จัก กับท่าน ท่านอาจถูกมิจฉาชีพเหล่านี้ฉกชิงทรัพย์สินหรือชักชวนเข้าสู่ขบวนการขนยาเสพ ติด
ตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย ผู้หญิงจะเข้าไปเที่ยวตามสถานบันเทิงต้องมีสามีไปด้วย ดังนั้น ถ้าท่านเข้าไปเพียงลำพังมีความผิดอยู่แล้ว
หญิงไทยที่ได้รับการชักชวนไม่ว่าจากใคร อ้างว่าไปทำงานในร้านอาหารไทย มีรายได้ดี มีที่พัก ไม่ต้องทำวีซ่า มีผู้คุ้มครอง ไม่มีค่าใช้จ่าย อย่าได้หลงเชื่อ เพราะนั่นคือขบวนการชักนำเข้าเครือข่ายค้าประเวณีประเภทจัดส่งถึงที่ (delivery) ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ค่าตัวแล้ว อาจถูกบังคับให้เสพยาไอซ์อีกด้วย
จึงอยากฝากเตือนสาวไทย ที่ต้องการไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย หรือพี่น้องคนไทยจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ ให้ระมัดระวังอย่าเดินทางเข้าหรือทำงานในมาเลเซียอย่างผิดกฎหมาย เพราะช่วงนี้ มาเลเซียเอาจริง จับจริง ปรับจริง