ภายหลังรัฐบาลประกาศขันนอตและใส่เกียร์เดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง
ทำให้เหล่าเอเยนต์หรือเครือข่าย ค้ายานรกต่างเฟ้นหาวิธีการหรืองัดกลเม็ดต่างๆ นานา มาตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจในการขนลำเลียงยา
บางกลเม็ดก็มาแบบเหยียบเมฆและเหนือความคาดหมาย
หรือบางครั้งอาจปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามสถานการณ์หรือช่วงเวลา
แต่สุดท้ายแล้วผู้กระทำผิดก็หนี ไม่พ้นเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่และกฎหมาย
เช่นเดียวกับ 2 เหตุการณ์นี้ที่เอเยนต์ค้ายาเสพติดใช้วิธีการขนยารูปแบบใหม่
โดยใช้อาชีพและสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวมาปิดบังตบตา จนใครหลายคนอาจคาดไม่ถึง
กลเม็ดแรกเกิดขึ้นวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ลุมพินี สืบทราบว่ามีเอเยนต์ลักลอบนำยาเสพติดมาจำหน่ายให้กับวัยรุ่นในสถานบันเทิง รวมไปถึงหญิงทำงานกลางคืนในย่านสุขุมวิท
ก่อนลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า เอเยนต์ยาเสพติดรายนี้ขับรถแท็กซี่บังหน้า ทำให้การควานหาและจับกุมตัวแคบลง
จากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ก็รู้ลักษณะและชื่อแซ่ของเอเยนต์รายนี้
จึงสั่งการให้สายข่าวติดต่อล่อซื้อยาเสพติด โดยนัดส่งมอบกันบริเวณหน้าโรงแรมแกรนด์ เพรสซิเดนท์ ซอยสุขุมวิท 11 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา
เมื่อถึงเวลานัดหมายเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าดักซุ่มและปิดล้อมสถานที่นัดหมาย เพื่อไม่ให้คนร้ายหนีรอดเงื้อมมือไปได้
แต่เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าที่รับแจ้งมา และยังไร้วี่แววของเอเยนต์ยาเสพติดรายนี้
ไม่ถึงอึดใจโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ ก็ดังขึ้น โดยต้นสายเป็นคนร้ายที่แจ้งขอเปลี่ยนสถานที่รับส่งยาเสพติดไปเป็นบริเวณกลางซอยสุขุมวิท 13
เจ้าหน้าที่จึงแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปบริเวณจุดนัดหมายใหม่ แล้วมีกำลังเจ้าหน้าที่บางส่วนปักหลักเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่เดิม
หลังจากเจ้าหน้าที่เคลื่อนกำลังไปได้ไม่เท่าไร คนร้ายก็โทรศัพท์แจ้งขอเปลี่ยนที่รับมอบมาเป็นบริเวณหน้าโรงแรมแห่งเดิม
เมื่อพบรถแท็กซี่ของคนร้ายมาจอดบริเวณจุดนัดพบ เจ้าหน้าที่บางส่วนที่ปักหลักอยู่ที่เดิมก็ไม่รอรีรีบเข้าแสดงตัวจับกุมทันที
แต่คนร้ายพยายามขับรถแท็กซี่หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกระโดดเข้าขวางหน้ารถ
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนร้ายเร่งเครื่องยนต์แล้วพุ่งชนร่างตำรวจลอยละลิ่วกระแทกกับพื้น
ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกชนจะกัดฟันคว้าอาวุธปืนที่พกอยู่บริเวณเอวออกมายิงสกัดไม่ให้หลบหนี
โดยกระสุนนัดหนึ่งได้เจาะเข้าบริเวณท้ายทอยของคนร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และรถแท็กซี่จอดนิ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม
เจ้าหน้าที่จึงเข้าควบคุมตัวคนร้ายและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ทราบชื่อนายวรรณชัย วงจันทเรือง อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21/2 ม.9 ต.แก อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์
ภายในรถยังพบยาไอซ์บรรจุซองพลาสติก น้ำหนัก 2 กรัม
ขณะตำรวจที่บาดเจ็บคือ ด.ต.กัณพงษ์ ฮวดศรี ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สน.ลุมพินี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ถือเป็นวิธีการลักลอบค้ายาเสพติดรูปแบบหนึ่ง
ส่วนอีกกลเม็ดเกิดขึ้นในหาดใหญ่ จ.สงขลา ภายหลังเจ้าหน้าที่สืบทราบ มีการมั่วสุมเสพและค้ายาเสพติดในห้องเช่าเลขที่ 501 มามาแมนชั่น ซ.เตชะโต ถ.ราษฎร์ยินดี อ.หาดใหญ่
จึงนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้น พบนายอนุศาสน์ ชีพเรืองรอง อายุ 23 ปี นายบัญชา ดูดวง อายุ 22 ปี และนายนรพล ยอดประสิทธิ์ อายุ 26 ปี นั่งล้อมวงเสพยาไอซ์อยู่
ภายในห้องยังพบยาไอซ์น้ำหนัก 1.79 ก.ก. มูลค่าประมาณ 7 ล้านบาทซุกซ่อนอยู่
ที่สำคัญยาเสพติดที่พบถูกบรรจุอยู่ในกล่องไปรษณีย์
ระบุชื่อนายอนุศาสน์เป็นผู้รับ และมีนายวรรณะเพชร ชีพเรืองรอง อยู่บ้านเลขที่ 132 ม.8 ต.ปงตำ อ.ไชยปราการ จ.เชียง ใหม่ เป็นผู้ส่ง
จากการสอบสวนไล่เรียงผู้ต้องหาจนรับสารภาพและเล่าถึงวิธีการลำเลียงยาเสพติดว่า
"ทุกครั้งจะติดต่อสั่งยาไอซ์มาจากภาคเหนือ โดยใช้วิธีส่งพัสดุมาทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นวิธีการที่เจ้าหน้าที่ยากแก่การตรวจสอบ"
รวมทั้งจะใช้ใบชาใส่ร่วมมากับยาเสพติดภายในกล่องพัสดุด้วย เพื่อหวังดับกลิ่นของยา
ทั้ง 2 กลเม็ดถือเป็นความพยายามของเครือข่ายในการลักลอบขนยาเสพติด
แต่สุดท้ายทุกกลเม็ดก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือกฎหมาย