สวัสดีครับพี่ๆเพื่อนๆชาวclipmassวันนี้ตื่นนอนขึ้นมาและมาเปิดcomputer ได้พบกับคำถามที่ค่อนข้างจะฮิตในยุคนี้คือเรื่องของ2010หรือวันสิ้นโลก ซึ่งคำถามที่ว่านี้ผมได้copyมาด้วยมีรายละเอียดดังนี้ “สวัสดีครับอาจารย์ ผมมีข้อสงสัยอยากจะเรียนถามอาจารย์หน่อยครับ ตกลงแล้วปี2012จะเกิดขึ้นจริงตามที่ชนเผ่ามายันกล่าวเอาไว้จริงเหรอครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคนธรรมดาจะต้องเตรียมรับมือหรือหลีกหนีกันยังไงถึงจะรอด ถ้ามันไม่เกิดก็อาจจะเกิดกับลูกหลานของเรา ตอบหน่อยนะครับอาจารย์ ผมจะได้บอกรุ่นสู่รุ่นครับ มันน่าวิตกไม่น้อยเลยนะครับ” ผมได้อ่านแล้วและต้องขอบอกก่อนว่า ปีค.ศ.2012 ไม่ใช่วันสิ้นโลก(อย่างแน่นอน) แล้วก็ยังนึกเตลิดเปิดเปิงไปไกลเลยว่า ทำไมอิทธิพลของสื่อและการโฆษณารวมถึงภาพยนตร์มันถึงได้มีผลต่อจิตใจของมนุษย์เราได้มากขนาดนี้ การที่มันมีผลมากขนาดนี้อาจเป็นเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของพวกเราโดยตรง ก็เลยทำให้เกิดการวิตกกังวลไปต่างๆนานา นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้าไม่เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้อนาคตต่างๆของตนเองโดยเฉพาะเรื่องของความตาย ลองมองย้อนกลับไปเมื่อปี2000ก็มีการประโคมข่าวกันว่าระบบต่างๆจะล่มสลายและโลกจะถึงการวิบัติต่างๆนานา ด้วยเพียงเหตุผลที่ว่าโลกครบรอบปีค.ศ.2000 พอมีข่าวนี้ออกมาทั่วโลกก็เตรียมจ่ายเงินกันเป็นขนานใหญ่เพื่อป้องกันเหตุร้ายทุกวิถีทางที่จะเกิดขึ้นในปีค.ศ.2000 ผลสุดท้ายก็พลิกล็อกไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมามีภาพยนตร์มาอีก2เรื่องคือ”เอมาเกดอนวันสิ้นโลก”และเรื่อง”ดีพอิมแพค”ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับดาวหางพเนจรขนาดใหญ่มากๆเท่ากับรัฐๆหนึ่งจะพุ่งเข้าชนโลกและจะเกิดการเสียหายอย่างประมาณค่ามิได้ ผู้คนจะล้มตายกันทั้งโลกแม้แต่แบคทีเรียก็ไม่เหลือ เท่านั้นเองมนุษย์ทั่วโลกก็ฮือฮาตามกระแสอยู่หลายปี จากนั้นก็พลิกล็อกไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาอีกหลายปีก็มีภาพยนตร์เรื่อง”เดอะเดย์อาฟเตอร์ทูมอร์โร่”โลกจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างรุนแรงจนถึงขนาดน้ำในมหาสมุทรเป็นน้ำแข็งทั้งหมด เฮลิคอปเตอร์ตกระหว่างกำลังบินกลางอากาศเนื่องจากอากาศเย็นจัดทำให้น้ำมันแข็งตัว ทั่วโลกจะปั่นป่วนผู้คนจะล้มตายเป็นจำนวนมาก พอหนังเรื่องนี้ออกมาฉายผู้คนทั่วโลกก็แตกตื่นว่าโลกคงถึงกาลวิบัติแล้ว ผลสุดท้ายก็พลิกล็อกไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่อยมากอีก4ถึง5ปีก็มีภาพยนตร์เรื่อง2012โผล่ขึ้นมา ทีนี้ไม่โผล่ขึ้นมาเปล่าๆมี นอสตราดามุส,ชาวเผ่ามายันและบรรดาเกจิอาจารย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ระบุว่ามีญาณวิเศษล่วงรู้อนาคต นี่ยังไม่รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ของไทยที่ไปทำงานให้กับองค์การNASAก็ช่วยกันออกมาประโคมข่าวสนับสนุนแบบชนิดที่ว่าหนัง2012ไม่ต้องโฆษณามากคนก็อยากจะไปดูกัน ทำให้งานนี้ฝรั่งโกยเงินจากไทยไปไม่ใช่น้อย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับจิตใจของผู้ที่ได้ดูภาพยนตร์และฟังข่าวคราวต่างๆที่เกี่ยวกับ2012 แล้วจิตใจก็เตลิดคิดอะไรกันไปสารพัดชนิดที่เรียกว่ากู่ไม่กลับเลยก็มี ถึงขนาดครูและนักเรียนบางโรงเรียนพูดกันว่าจะเรียนจะสอนไปทำไมเดี๋ยวอีก2ปีก็ตายห่าแล้ว นั่นยังไม่รวมถึงชาวบ้านร้านตลาดและบุคคลทั่วๆไป ผมมานั่งรอตัดผมอยู่ที่ร้านตัดผมในเมืองร้อยเอ็ดก็มีแต่คนพูดถึงเรื่องนี้ว่าอีก2ปีโลกจะแตกแล้ว เลอะเทอะไปกันใหญ่ ทั้งภาพยนตร์ทั้งสื่อไม่ได้รับผิดชอบอะไรต่อจิตใจของผู้บริโภคเลย คนทั่วๆไปจึงยังถูกหลอกกันได้ง่ายๆ ถ้าผมคาดไม่ผิดต้นปี2012จะยิ่งมีการประโคมข่าวนี้มากยิ่งขึ้น และจะมีพ่อค้าหัวใสผลิตเรือแบบชนิดพิเศษ(ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหน)ออกมาจำหน่ายแน่นอน ผมไม่รู้ว่าจะชี้แจงแถลงไขอย่างไรถึงจะให้ผู้อ่านคลายกังวลลงได้ แต่ผมมีข้อหลักๆที่อยากจะให้ผู้อ่านได้พิจารณากันดังนี้
1.ปี2012 (โลกไม่แตกแน่นอน)
1.1 ต่อให้มีการยิงอาวุธนิวเคลียกันทุกประเทศก็ตามไม่สามารถทำให้โลกแตกได้ ยกเว้นมนุษย์และสิ่งปลูกสร้างจะถูกทำลายสิ้น
1.2 ยังไม่มีการพุ่งชนของอุกาบาต ถ้าจะมีNASAจะต้องแจ้งเตือนให้ทราบหรือป้องกันตนเองเหมือนกัน
1.3 โลกจะแตกหรือสิ้นโลกมีเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะอีก 5 ปี 10 ปีหรืออาจจะเป็น 100 ปีแล้วสิ้นโลกก็ได้ เรื่องนี้เป็นการงานของพระผู้เป็นเจ้า สติปัญญาของมนุษย์หรือเครื่องมือใดๆบนหน้าโลกนี้ไม่สามารถตรวจสอบหรือวัดการงานของพระเจ้าได้
2.การเกิดแผ่นดินไหว (มีเกิดขึ้นแน่นอน)
2.1 ปัจจุบันนี้มีการเกิดแผ่นดินไหวตลอดเวลาอยู่แล้วเพียงแต่จะเกิดหนักหรือเบาเท่านั้น บางครั้งไหวน้อยจนเราไม่รู้สึก หรือบางครั้ง
ไหวหนักมากจนเกิดแผ่นดินถล่มหรือเกิดรอยแยกบนพื้นทวีป ถ้าเกิดใต้มหาสมุทรก็มี2แบบคือ1. เกิดการแยกของแผ่นดินออกไปทางซ้ายและขวาก็จะทำให้เกิดแรงดูดของน้ำอย่างมหาศาล ทุกๆสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงบนหน้าผิวน้ำในขณะนั้นจะถูกดูดลงสู้ใต้ท้องมหาสมุทรทันทีโดยไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยเหลือได้ 2. เกิดการแยกของแผ่นดินแบบเคลื่อนขึ้นลงสูงต่ำถ้าเกิดแบบไม่แรงมากจะทำให้เกิดคลื่นจากทะเลเข้าหาฝั่งไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าเป็นการเคลื่อนตัวอย่างแรกจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าหาฝั่งที่เราเรียกกันว่า“สึนามิยักษ์”ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล แต่ไม่ก่อให้เกิดน้ำท่วมโลกอย่างแน่นอน
3.การเกิดน้ำท่วมโลก (เป็นบางส่วนของโลกที่อาจเกิดขึ้น)
3.1 มันเคยเกิดขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน สมัยนบีนั๊วะหรือที่ฝรั่งเรียกกันว่าโนอา สมัยนั้นมีการสร้างเรือลำใหญ่โดยพระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งการและควบคุมการสร้างเรือด้วยพระองค์เอง (เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบได้) เนื่องจากนบีนั้นไม่ได้เป็นช่างและประกอบเรือไม่เป็น ดังนั้นผู้ช่วยในการสร้างเรือครั้งนั้นก็คือบรรดาสัตว์ต่างๆ (ทำโดยบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า) เมื่อการสร้างเรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเกณฑ์บรรดาสัตว์ต่างๆบนหน้าผืนแผ่นดินนี้อย่างละ 1 คู่ขึ้นเรือ จากนั้นก็ให้บรรดาผู้ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าขึ้นเรือเมื่อถึงกำหนดที่น้ำจะท่วมโลก พระผู้เป็นเจ้าทรงให้สัญญาณคือให้มีน้ำพุ่งขึ้นมาจากใต้เตาไฟที่ใช้ทำอาหาร จากนั้นก็ขึ้นเรือ เมื่อขึ้นเรือแล้ว แผ่นดินก็แยกออกและมีน้ำพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินพร้อมทั้งมีฝนตกลงมาอย่างหนักแม้แต่ก้อนหินยังแตกออกและมีน้ำไหลออกมา ในระยะเวลาไม่นานน้ำก็เริ่มมีระดับสูงขึ้นจนเรือลอยได้ บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธารวมทั้งผู้ที่ก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินได้พากันหนีตายขึ้นสู่ยอดเขาที่ตนเองคิดว่าสูงและพ้นจากน้ำท่วมแล้ว แท้จริงพวกเหล่านั้นคิดผิดเพราะเมื่อการลงโทษมาถึงจะไม่มีผู้ใดที่หนีรอดได้ ฝนได้ตกลงมาเป็นเวลา 40 วันจากนั้นจึงหยุดตก เรือยักษ์ก็ได้ล่องลอยอยู่กลางน้ำที่ท่วมเป็นเวลา 40 วัน จากนั้นน้ำจึงแห้งและเรือได้ไปค้างอยู่บนภูเขาติรูซีนาย (ภูเขาเอเวอร์เรส) ซึ่งกินเนื้อที่ระหว่าง 2 ประเทศ เรือยักษ์ลำนี้ไม่มีนักสำรวจคนใดที่จะเข้าไปวุ่นวายเนื่องจากเขาให้เกียรติว่าเป็นเรือของพระเจ้า หลังจากที่มนุษย์และสัตว์ต่างๆได้ลงสู่พื้นดินแล้วก็ได้มีการกระจายกันออกไปตามที่ต่างๆบนหน้าแผ่นดินเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ครั้งนั้นเปรียบเสมือนการเริ่มต้นศักราชใหม่ของมนุษย์และสัตว์เลยก็ว่าได้ น้ำท่วมโลกคราวนั้นเป็นการล้างสิ่งชั่วร้ายบนหน้าผืนแผ่นดิน
3.2 สำหรับปี2012ที่บอกว่าจะเป็นการท่วมเพื่อล้างโลกตามคำทำนายต่างๆนั้น ถ้าเราเชื่อในเรื่องของวิทยาศาสตร์ฟังดูแล้วก็น่าจะเป็นไปได้บ้าง แต่การท่วมในครั้งนี้จะไม่เหมือนในครั้งแรกแน่นอน อาจจะท่วมขึ้นมาสูงมากจนบางพื้นที่อยู่ไม่ได้ ซึ่งการท่วมนี้น่าจะเกิดจากการละลายตัวของน้ำแข็งขั้วโลกเพราะความร้อนของโลกสูงขึ้น (ที่ผมกล่าวถึงนี้ไม่เกี่ยวกับภาพยนตร์2012)ประชากรของทุกประเทศน่าจะมีการเตรียมตัวแก้ไขสถานการณ์ต่างๆได้ทัน ทั้งนี้รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
4.ท่านนบีมูฮัมมัดได้เคยขอต่อพระผู้เป็นเจ้าไว้ว่า “ไม่ให้พระองค์ทรงล้างเผ่าพันธุ์ประชาชาติโดยใช้วิธีแบบสมัยเดิม แต่ได้ขอให้พระ
องค์ทรงชะลอการลงโทษของประชาชาติเอาไว้เมื่อวันกิยามัต(วันสิ้นโลก)มาถึง”
5.วิทยาศาสตร์คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ในทุกๆเรื่อง แต่ในหลายๆเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เราสมควรจะเชื่อถือหรือไม่
6.การทำความดีตลอดทุกๆช่วงเวลาไม่ใช่สิ่งที่เสียหาย ไม่ต้องรอใกล้ตายแล้วค่อยทำ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ
7.อยากให้จิตใจสงบไม่กังวลต้องมั่นเข้าหาเรื่องของศาสนาให้มากๆ ละทิ้งความงมงายทั้งมวล
8.พึงรำลึกเอาไว้เอาไว้เสมอว่า “ทุกๆชีวิตต้องลิ้มรสความตาย” ส่วนใครจะตายอย่างไร เวลาไหน หรือสถานที่ใด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เพราะเป็นงานของพระผู้เป็นเจ้า สติปัญญาของมนุษย์อย่างเราไปไม่ถึง
9.ดุลพินิจต่างๆที่ได้จาการอ่านบทความนี้แล้วขึ้นอยู่กับตัวของท่านเอง
ด้วยรักและปรารถนาดี