อัศจรรย์ 44 ปี ไม่เปื่อยเน่า ไม่เหม็น นอนแห้งๆ ใน “เรือนผี”

ร่างของชายหนุ่มคน หนึ่งนอนนิ่งอยู่ในโลงฝาแก้วที่ครอบครัวเก็บไว้ภายในเรือนตลอด 44 ปีที่ผ่านมา ยังคงไม่เน่าเปื่อย เพียงแต่แห้งลง และไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆ ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้ที่ได้เห็น
       
       บ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวจากหลังอื่นๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน และบัดนี้ ก็เหลือเพียงน้องชายของผู้ตายเพียงคนเดียวที่ยังอาศัยอยู่กับศพ หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ชาวบ้านใกล้เคียงเรียกบ้านหลังนี้ว่า “เรือนผี” เนื่องจากหลายปีมานี้ เจ้าของบ้านปฏิเสธที่จะให้ใครเข้าไปดูคนตายในโลงฝาแก้ว
       
       นายดีงกงหวะ (Đinh Công Hạo) ชาว อ.ฝูเติน (Phú Tân) จ.อานซยาง (An Giang) เกิดปี พ.ศ. 2494 และเสียชีวิตลงตอนอายุได้ 17 ปี ในบ้านหลังเดียวกันนี้ นายดีงหืวจิ (Đinh Hữu Trí) ผู้เป็นน้องยังจำได้ดี พี่ของเขาหายใจเฮือกสุดท้ายในวันที่ 19 ธ.ค.2511
       
       นายจิกล่าวอีกว่า สถานที่ๆ นายหวะนอนนิ่งอยู่นี้ เป็นบ้านของครอบครัวที่อาศัยติดต่อกันมานานถึง 120 ปี จนกระทั่งถึงรุ่นพ่อ ซึ่งตอนพี่เสียชีวิตนั้น ครอบครัวก็นำไปฝังในสุสานประจำตระกูลที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ไม่มีใครคิดที่จะทำให้เป็นมัมมี่ และ 44 ปีก็คงไม่นานพอที่จะทำให้ใครเป็นมัมมี่ได้
       
       “ผมยืนยันได้เลยว่า 44 ปีทีผ่านมา ครอบครัวไม่เคยฉีดยา หรือใช้ยาอะไรกับศพพี่ผม อวัยวะก็ไม่ได้บริจาคให้แก่ทางการ สมัยโน้น การผ่าตัดยังไม่เจริญเท่าทุกวันนี้ ร่างของเขาเพียงแต่แห้งลง เราได้ปฏิเสธเพื่อนบ้านไปจำนวนมากที่อยากจะเข้ามาดู ซึ่งส่วนใหญ่มาด้วยจุดประสงค์ทางไสยศาสตร์” นายจิกล่าวกับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ออนไลน์เดิ๊ดเหวียด (Báo Đất Việt) ที่เดินทางจากนครโฮจิมินห์ไปที่นั่นเพื่อทำรายงานเรื่องนี้
       
       นายจิกล่าวอีกว่า กว่า 40 ปีมานี้ไม่เคยมีกลิ่นใดๆ ออกจากศพของพี่ชาย ไม่เคยมีของเหลวชนิดใดซึมออกมาแม้แต่น้อย และไม่เคยเห็นแมลงชนิดใดแม้แต่มดเข้าไปรบกวน
       
       “ก่อนปี 2518 (ปีที่สงครามในภาคใต้สงบลง) มีแพทย์จากสหรัฐฯ มาที่บ้าน มาขอดู และเสนอเงินก้อนใหญ่ให้ แลกกับนำศพพี่ผมกลับไปเพื่อศึกษา แต่ครอบครัวเราไม่ตกลง ตั้งแต่นั้นก็ไม่เห็นกลับมาอีก” นายจิกล่าว
       
       ตอนยังเล็ก นายหวะเป็นเด็กหน้าตาดีเรียนเก่ง และฉลาด เขียนกลอนเป็นตั้งแต่เรียนชั้นประถม คุณพ่อของพวกเขาศึกษาลัทธิขงจื่อและเป็นครู
       
       พออายุ 10 ปี นายหวะเริ่มป่วยด้วยโรคที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน และผอมลงเรื่อยๆ ครอบครัวรักษาทุกวิถีทาง ทั้งแพทย์ทางเลือก และแพทย์สมัยใหม่ แต่ไม่มีอะไรช่วยได้ สุขภาพก็เสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ก็อยู่ต่อมาได้อีก 7 ปี จึงจากไป และครอบครัวจัดพิธีศพตามประเพณีก่อนจะนำไปฝังที่สุสานของตระกูล 3 วันหลังจากนั้น
       .
ด.ช.ดี งกงหวะ (Đinh Công Hạo) ตอนอายุ 10 ปี ก่อนจะเริ่มป่วยด้วยโรคประหลาดไม่ยอมกินยอมนอน และสิ้นชีวิตลงในอีก 7 ปีต่อมา ศพของเด็กหนุ่มแห้งลง แต่ไม่เน่าไม่เปื่อยและไม่มีกลิ่นเหม็น ปัจจุบันยังนอนอยู่ในโลงฝาแก้วที่บ้านหลังเก่าในนิคมฝูแทง (Phú Thạnh) อ.ฝูเติน (Phú Tân) จ.อานซยาง (An Giang) ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ทุกอย่างเป็นความลี้ลีบมา 44 ปีแล้ว. -- ภาพ: เดิ๊ดเหวียด (Báo Đất Việt)        .
       แต่พิธีฝังผ่านไปได้วันเดียว นายดีงไดบืว (Đinh Đại Bửu) ผู้เป็นพ่อฝันว่า บุตรชายยังไม่ตายเพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น จึงเริ่มคิดจะขุดนายหวะขึ้นมา ถึงแม้ว่าญาติๆ จะคัดค้านก็ตาม เพราะทุกคนเชื่อว่า นายหวะอาจจะเน่าเปื่อยไปแล้วหลังจากถูกฝัง และอาจจะส่งกลิ่นเหม็นรบกวนชาวบ้านด้วย
       
       หลังจากครุ่นคิด และนอนไม่หลับทั้งคืน วันรุ่งขึ้น นายบื๋วจึงตัดสินใจขุดศพลูกชายขึ้นมาพิสูจน์ ในนาทีนั้นทุกคนใช้สำลีอุดจมูกไว้พร้อม แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เนื่องจากไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นใดๆ ผู้ที่นอนอยู่ในโลงก็ยังดูสดใส มีเลือดฝาดสมบูรณ์เหมือนคนนอนหลับ มือและแขนยังคงอ่อนนุ่ม มีเพียงมุมปากที่ถูกมดกัดแทะหลังจากถูกฝังมา 1 คืน ทุกคนในครอบครัวร้องไห้โฮเมื่อเห็นสภาพของนายหวะ
       
       “ตอนนั้นผมอายุ 13 ตอนที่พ่อนำศพหวะกลับเข้าบ้าน มีคนไปดูกันเนืองแน่น ทางการได้ส่งแพทย์มาที่บ้านถึง 5 คนเพื่อตรวจพิสูจน์ รวมทั้งยังมีแพทย์ชาวต่างชาติคนหนึ่งด้วย แพทย์ได้ยืนยันว่า พี่ผมตายแล้ว แต่ก็แปลกใจที่ศพไม่เน่า และไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆ หมอยังอยู่กับเราอีก 1 วันต่อมา สอบถามเรื่องราวต่างๆ และข่าวคราวการตายแล้วฟื้นของน้องชายผมแพร่สะพัดไปทั่ว” นายจิย้อนความทรงจำ
       
       เขากล่าวอีกว่า 3 สัปดาห์ต่อมา ศพก็ยังนอนอยู่ในบ้าน ร่างของพี่ยังอ่อนนุ่ม คุณพ่อจะไปนั่งข้างๆ ศพทุกวัน พูดคุยกับลูกชาย และนำน้ำชาไปหยอดใส่ปากของศพเป็นระยะๆ ญาติช่วยกันนำน้ำเทใส่ปาก ทำทุกอย่างโดยหวังว่าเขาจะฟื้น แต่ก็ไม่สำเร็จ
       
       จนกระทั่งวันตรุษปีต่อมา พ่อของเขาจึงตัดสินใจปิดฝาโลง รอให้หมอกลับไปตรวจอีกครั้งหลังเทศกาลขึ้นปีใหม่ประเพณีผ่านไป
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อแพทย์กลับไปตรวจอีกครั้งหนึ่งก็พบว่า ร่างที่นอนอยู่ในโลงศพเริ่มแห้งลง แต่ก็ไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆ เช่นเคย ทำให้พ่อตัดสินใจเปลี่ยนฝาโลงใหม่ให้เป็นแก้ว และเก็บศพเอาไว้ในบ้านสืบมาตั้งแต่นั้น ซึ่งสมาชิกในบ้านจัดธูปบูชาติดต่อกันมาทุกๆ วันมิได้ขาด กระทั่งแม่ถึงแก่กรรมไปก่อน และพ่อได้เสียไปอีกคน
       
       “หลายปีที่ครอบครัวของเรารอคอยให้ใครสักคนช่วยค้นหาคำตอบว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” นายจิกล่าวกับเดิ๊ตเหวียด.
Credit: ผู้จัดการออนไลน์
7 พ.ค. 55 เวลา 18:43 8,674 6 150
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...