เรื่อง นรก-สวรรค์ ว่าจริงหรือไม่

                                                  นรก - สวรรค์ มีจริงหรือไม่ ?

พระพุทธศาสนา พูดเรื่องนี้ไว้เป็น ๓ ระดับ :-
ระดับที่ ๑. นรก-สวรรค์ ภายหลังการตาย
สำหรับประเด็นนี้ตามพระไตรปิฎก "เมื่อตีความตามตัวอักษรแล้ว ก็ต้องบอกว่า มี"
วิธีลงโทษในนรกด้วยประการต่างๆ มีใน พาลบัณฑิตสูตร และ เทวทูตสูตร... โดยมากพูดถึงนรก ไม่ค่อยพูดถึงสวรรค์.. นอกจากนี้ยังมีบางแห่งพูดถึงอายุเทวดาในชั้นต่างๆ เช่น ชั้นจาตุมหาราช หรือชั้นโลกบาล ๔ ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ยังมีอายุมนุษย์ ถึงรูปพรหม แสดงไว้ในฝ่ายพระอภิธรรม

ระดับที่ ๒. นรก-สวรรค์ ที่อยู่ในใจ
"สวรรค์ในอก นรกในใจ" เป็นเรื่องที่มีในชาตินี้ นรก-สวรรค์แม้ในชาติหน้า มันก็สืบไปจากที่มีในชาตินี้..."
"ระดับจิตของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายโดยทั่วไปถ้าไม่ใช่กรณียกเว้น มันก็อยู่ในระดับนั้นแหละ ส่วนในกรณียกเว้น ถ้าเวลาตายนึกถึงอารมณ์ที่ดี เช่นทำกรรมชั่วมามาก แต่เวลาตายนึกถึงสิ่งที่ดี ก็ไปเกิดดีได้ ถ้าหากเวลอยู่ ทำกรรมดี แต่เวลาตายเกิดจิตเศร้าหมอง ระดับจิตตกลงไป ก็ไปเกิดในที่ต่ำ"

ระดับที่ ๓. นรก-สวรรค์ แต่ละขณะจิต
"ตามหลักวิชาการ คือ การที่เราปรุงแต่งสร้างนรก-สวรรค์ของเราเองตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน.. คือปรุงแต่งด้วยกิเลส มีความดี -ความชั่ว มีกุศล - อกุศลในจิตของเราเอง"
"หากว่าจิตใจของเรามีภูมิธรรมดี สร้างกุศลไว้มาก ทำจิตใจให้อิ่มเอิบเป็นสุข พยายามมองในแง่ดี ก็รับอารมณ์ที่เป็นสุขไว้ได้มาก"

"ปัจจุบันที่เป็นอยู่ กลายเป็นเรื่องที่เราควรจะเอาใจใส่มากกว่า เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราได้รับผลอยู่ตลอดเวลา... ฉะนั้น ท่านจึงให้เอาใจใส่นรก-สวรรค์ที่มีอยู่ตลอดเวลาที่เราปรุงแต่งอยู่เรื่อยๆ สอนให้เรายกระดับจิตขึ้นไป... "
"การมีปัญญารู้เท่าทันสิ่งต่างๆ ทำให้เราเข้าใจโลกและชีวิตดี ทำให้วางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ในกรณีอย่างนี้ท่านว่า มันพ้นเลย จากเรื่องนรก-สวรรค์ไปแล้ว คือมีจิตใจปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดเวลา มีความสบายทันตาในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงข้างหน้า"  

ในพระไตรปิฎก (มหาปริฬาหนรก) บอกว่า ...นรก-สวรรค์ที่ว่านั้นไม่สำคัญเท่านรก-สวรรค์ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่เราปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้ง ๖ โดยพื้นจิตของเราสร้างขึ้นมา"
"แก่นแท้ของ นรก-สวรรค์ อยู่ที่ระดับที่ ๓ นี้ ... อย่าลืมว่า!!!

การสร้างนรก-สวรรค์ใหญ่ๆ มันก็มาจากสร้างเล็กๆ น้อยๆ นี้เอง.. สร้างจิตใจของเราให้ดี ทำอารมณ์ให้ดี ค่อยเป็นค่อยไป"

ท่าทีของพุทธศาสนาต่อเรื่อง นรก-สวรรค์
"...การวางท่าทีเป็นหัวข้อที่อาตมาบอกแล้วว่าสำคัญ การวางท่าทีสำคัญกว่าความมีจริงหรือไม่ ... แต่มันจะไปเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับนรก-สวรรค์ระดับที่ ๓"
"ท่าที" ที่เกี่ยวข้องมีดังนี้ :-

ท่าทีที่ ๑ ต้องมีศรัทธา
พุทธศาสนานั้น บอกว่าให้เชื่ออย่างมีเหตุผล สำหรับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ในเมื่อจะต้องเอาทาง "ศรัทธา" ก็ให้ได้หลักก่อน....
ศรัทธา คือ การไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น หรือพูดในแง่หนึ่งคือ เราฝากปัญญาไว้กับคนอื่น
การที่จะวางใจปัญญาของผู้อื่นได้ต้องพิจารณาในขั้นแรกที่ "ตัวปัญญา" นั้น เราคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานั้น เท่าที่เรามองเห็น ก็เป็นความจริง เราจึงเห็นว่าพระองค์มีปัญญาพอที่เราจะฝากปัญญาของเราไว้กับท่านได้ เราจึงเกิดศรัทธาขึ้นเป็นขั้นแรก
ขั้นที่สอง คือ "ความปรารถนาดี" พระพุทธเจ้ามีความปรารถนาดี มีเมตตากรุณา สอนเราด้วยใจบริสุทธิ์
พระองค์สอนเรื่อง นรก-สวรรค์ว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า ถ้าเรามีศรัทธา เราก็น้อมไปทางเชื่อ เรื่องก็เป็นอย่างนั้น...

ท่าทีที่ ๒ ถือตามเหตุผล
เป็นท่าทีที่ "ยังไม่มีศรัทธา" พระพุทธเจ้าได้ตรัสกาลามสูตร และได้ยกตัวอย่างซึ่งมาเข้าเรื่องนรก-สวรรค์ กรรมดี-กรรมชั่ว ทรงสอนให้พิจารณาในปัจจุบันนี้ว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศล ทำแล้วมันเกื้อกูลแก่ชีวิตของตนเองในปัจจุบันไหม มันดีแก่ตัวเราไหม ดีต่อผู้อื่นไหม ทำแล้วถ้านรก-สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ต้องไปตกนรก ได้ไปสวรรค์
สรุปในแง่นี้ได้ว่า ถึงแม้ไม่ต้องใช้ศรัทธา เอาตามเหตุผล ก็ควรทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว นี้เป็นแนวทางกาลามสูตร

ท่าทีที่ ๓ มั่นใจตน -ไม่อ้อนวอน
ในทางพุทธศาสนา คนทำดี ไม่ต้องอ้อนวอนขอไปสวรรค์ เพราะมันเป็นไปตามกฎธรรมดา เพียงแต่รู้ไว้ และมั่นใจเท่านั้น พุทธศาสนิกชนเรามีความรู้ไว้สำหรับให้เกิดความมั่นใจตนเอง

ท่าทีที่ ๔ ไม่หวังผลตอบแทน
พุทธศาสนาสอนต่อไปอีกระดับหนึ่งว่า ุถ้าเรายังทำดีเพราะหวังผลอยู่ก็เรียกว่าเป็นโลกียปุถุชน คนของพุทธศาสนาที่แท้จริง ต้องเป็นคนทำความดีโดยไม่ต้องห่วงผล
เมื่อเราทำจิตของเราให้ประณีตขึ้น พอมันละเอียดอ่อนขึ้น สิ่งที่กระทำไว้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย มันก็ปรากฎผลได้ง่าย...


อเนกชาติ สํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
คหการกทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคาฯ

คำแปล เมื่อเราแสวงหานายช่างสร้างเรือนได้ซึ่งแล่นไปเร่รอนในสังสารวัฏไม่รู้ว่ากี่ชาติ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
ดูกรนายช่างเอย เราเห็นท่านแล้ว ท่านไม่ต้องทำเรือนเราอีกต่อไป โครงร่างเรือนของเจ้าทั้งหมดเราก็หักทำลายแล้ว เรือนยอดเราก็ทำลายแล้ว จิตถึงการปรุงแต่งไม่ได้ ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย
พุทธอุทาน

พุทธพจน์แสดงการเกิดใหม่ของผู้มีบาป
อิท นนฺ เปจฺจนนฺทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺ นนฺทติ
ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนฺทติ ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโตติฯ

ผู้ทำบุญไว้ ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้ เพลิดเพลินในโลกหน้า เพลิดเพลินในโลกทั้งสอง เพลิดเพลินว่า บุญเราทำไว้แล้วหนอ ไปสู่สุคติยิ่งเพลิดเพลินโดยยิ่ง (๒๕/๑๑/๑๗)
คนจะหมดสงสัยเรื่องตายแล้วเกิด คือพระโสดาบัน ดังพุทธพจน์

โก อิมฺ ปฐวึ วิเชสฺสติ ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ
โก ธมฺมปทํ สุเทสิตํ กุสโล ปุปฺผมิว เปจฺจสฺสติ
เสโข ปฐวี วิเชสฺสติ ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ
เสโข ธมฺมปทํ สุเทสิตํ กุสโล ปุปฺผมิว เปจฺจสฺสตีติฯ
(ปุพฺพวคฺค ๒๕/๑๔/๒๑)

พระเสขะ จักรู้จักแผ่นดินนี้ ยมโลกพร้อมทั้งเทวโลก
พระเสขะ จักเลือกสรรบทธรรมที่เราแสดงดีแล้ว
ดุจนายมาลาการผู้ฉลาดเลือกสรรดอกไม้ฉะนั้นทรงยืนยันอริยผลว่ายอดกว่าทุกสิ่ง ปฐวิยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปจฺเจน โสตาปตฺติผลํ วรนฺติฯ

โสดาปัตติผล ประเสริฐกว่า การเป็นเอกราชในแผ่นดิน
การไปสู่สรรค์ การเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวงและผู้ที่รู้ปฏิจจสมุปบาทดี จะหายสงสัย ดังพุทธอุทานในมหาวรรค แห่งพระวินัยว่า

ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺมํ

ยโต ขยํ ปจฺจายํ อเวที
วิธูปยยํ ตฏฺฐติ มรเสนํ สูโรว โอภาสยมนฺตลิกฺขนฺติฯ

แปลว่า ในกาลใดแล ธรรมย่อมปรากฎชัด แก่ผู้มีความเพียร มีสมาธิปัญหา ลอยบาป ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของผู้นั้นย่อมสิ้นไปเพราะได้ทราบเหตุปัจจัย และความรู้สิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย ขจัดมารและเสนามารได้ ดำรงตนอยู่ ดุจพระอาทิตย์พ้นจากเมฆ ส่องสว่างในท้องฟ้า

พระสูตรที่ควรดูประกอบ
๑) สัตตคติสูตร ในอังคุตตรนิกาย
๒) มหาตัณหาสังขยสูตร และอัสสาลสูตร มัชฌิมนิกาย ข้อขัดแย้งเรื่อง อันตรภพ, จิต, โอปปาติกะ, และอนัตตา
เรื่องการเกิดใหม่นี้ พระพุทธองค์มีท่าที่ต่อผู้มาถาม ๔ แบบด้วยกันคือ.-
๑) ถ้าผู้ถามมีความเชื่ออยู่แล้วก็ทรงตรัสสอนให้เขารู้ให้ชัดยิ่งขึ้นในเรื่องการเกิดตาย
๒) ถ้าผู้ถามยังลังเลไม่แน่ใจ ก็ทรงปล่อยให้อุ่นใจ ดังกาลามสูตรว่าคนทำดีอบอุ่นในชาตินี้ ถ้าชาติหน้ามีก็หลักประกันว่าเราไปที่ดี แต่ถ้าไม่มีหลักประกัน เราก็สุขสบายในปัจจุบันแล้ว
๓) ถ้าผู้ถามเข้าใจผิดพระองค์ก็ทรงแก้ไขหายจากมิจฉาทิฐินั้น
๔) ถ้าผู้ถามมีทิฐิเห็นผิดอย่างรุนแรงมาถาม เพื่อลองดี หรือหาเลศถามพระองค์จะนิ่งเสีย

อนึ่ง มีวิธีพจน์เรื่องตายแล้วเกิด ๓ แบบคือ
๑) ประจักษประมาณ พิสูจน์โดยวิธีทำสมาธิ จนได้อภิญญา จนได้ทิพพจักขุญาณ หรือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ก็จะเข้าใจระบบการเกิดใหม่ได้ชัดเจน และจะหายสงสัยในที่สุด เมื่อบรรลุอาสวักขยญาณ เรียกว่า ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา จนเกิดอภิญญาจิต
๒) อนุมานประมาณ พิสูจน์โดยอนุมานเอา เช่นเห็นควันก็รู้ว่ามีไฟ เห็นคนระลึกชาติได้ เห็นความแตกต่างระหว่างคนในอินทรีย์และพละจริตนิสัย และความสามารถทางปัญญา ซึ่งแสดงถึงว่ามีชาติก่อนจึงมีปรากฎการณ์เช่นนี้ ฉะนั้น เมื่อมีเมื่อวานจึงมีวันนี้ มีวันนี้ก็มีวันพรุ่งนี้ มีชาตินี้ก็มีชาติหน้า
๓) สัททประมาณ คือการเชื่อตามพระพุทธดำรัส ตามนัยที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์พระไตรปิฎก โดยศรัทธาประเภทตถาคตโพธิสัทธา เมื่อพระองค์ตรัสรู้ย่อมไม่ตรัสสิ่งที่ผิด ดังนั้น จึงเอาพระพุทธองค์เป็นเกณฑ์ย่อมจะปลอดภัย เพราะการเชื่อบัณฑิตย่อมจะมั่นคงกว่าเชื่อสามัญชนโดยเฉพาะคำสอนเกี่ยวกับคำว่าจุติจิตปฏิสนธิจิตชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฎก

เหตุผลสนับสนุนการตายและเกิด
๑. พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องตายแล้วเกิดไว้จริง ในพระไตรปิฎกแบบตรงไปตรงมา
๒. หลักพระพุทธศาสนามีว่า การตายแล้วเกิดอีกบ่อยๆ เป็นทุกข์ (ทุกฺขาชาติ ปุนปฺนํ) การตายแล้วไม่เป็นสุข (เตสํ วูปสโม สุโข) และทรงยืนยันในธรรมจักรว่า อยมนฺติมา ชาติ หตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้การเกิดใหม่ไม่มี
๓.คนเราแตกต่างกันที่ร่างกายและจิตใจ จึงมีทฤษฏีอธิบายถึง ๔ คือ
๓.๑ เทวลิขิต หรือพรหมลิขิต (Predestination)
๓.๒ ทฤษฎีพันธุกรรม (Heredity) ไม่เห็นด้วย จึงค้านเรื่องตายแล้วเกิด
๓.๓ ทฤษฎีสิ่งแวดล้อม (Environment) แตกต่างเฉพาะสิ่งแวดล้อม
๓.๔ ทฤษฎีตายแล้วเกิด (Rebirth) สามารถอธิบายคู่แฝดที่แตกต่างด้วยชาติก่อนและกรรมเก่า
๔. ทฤษฎีไอน์สไตน์ว่าด้วยกฎแห่งความคงอยู่ของพลังงาน ได้แสดงว่า "พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สูญหายไปจากเอกภพ ในขณะที่สสารซึ่งเป็นรูปธรรมของพลังงานอาจแตกสลายไปได้" ดังนั้น ทฤษฎีรูปนาม (สสารพลังงาน) ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นความจริง
๕. มีคนระลึกชาติได้ อาจจะโดยวิธี
๕.๑ จำได้เอง
๕.๒ ถูกสะกดจิต
๕.๓ จำได้ด้วยอำนาจบปุพเพนิวาสานุสติญาณ เกิดจากทำสมาธิเป็นคนตายแล้วฟื้น การเข้าทรง คนถูกวิญญาณสิง
๖. ปรากฎการณ์ทางวิญญาณแบบต่างๆ (Psychic Phenomena) เป็นคนตายแล้วฟื้น การเข้าทรง คนถูกวิญญาณสิง
๗. เหตุกาณ์ร้ายดี ในวิถีชีวิตของคนเรามีทั้งดีทั้งชั่ว และบางครั้งเหมือนไม่ยุติธรรม แต่ก็แสดงถึงอดีตกรรมชัดเจน
๘. การเกิดขึ้นแห่งจิต ที่มีอวิชชาในแต่ละครั้ง นับเป็นภาษาธรรมที่เรียกว่า เกิดภพในแต่ละครั้งทางจิตแล้วมีทุกข์ ดังอวิชาได้ก็เหมือนดับทุกข์

เหตุผลคัดค้านการตายแล้วเกิด
๑. ถ้าคนตายแล้วเกิดจริง ก็หมายความว่า ต้องมีคนหนึ่งตายอีกคนหนึ่งจึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ประชากรของโลกก็น่าจะมีจำนวนคงที่ แต่ตามความเป็นจริงปรากฎว่า พลโลกเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย ปฏิสนธิวิญญาณ เหล่านั้นมาจากไหน?
๒. ถ้าการจำชาติก่อนได้เป็นเรื่องจริง ทำไมคนส่วนมากจึงจำชาติก่อนไม่ได้ ทั้งๆ ที่ทุกคนล้วนมีชาติก่อนแล้วทั้งสิ้นแนวตอบ กาล เวลา ต่างกัน จิตสำนึกจึงเลือนลาง
การกระทบกระเทือนขณะคลอด
ภวังคจิตติดต่อกันนานถึง ๗-๙ เดือน ทำให้ลืมอดีตชาติ
จิตสำนึกใหม่ทำให้จิตไร้สำนึก ซึ่งเคยมีเมื่อเล็กๆ หายไป

หนังสืออ้างอิงประจำบท
๑. พระสุตตันตปิฎก ฉบับสยามรัฐ ม.ม. ตท. ๑๓ : ๓๗๖ ปเจตนสูตรติ.อํ.ตท. ๒๐: ๑๒๗ มิจฉาทิฏฐิสูตร ติ.อํ. ตทา. ๒๕.๒๕๔ ลักขณสูตร ที.ปา.ตท.ติณกัฏฐสูตร สํ.นิ.ตท. ๑๖.๑๙๙ อังคุลิมาลสุตร ม.ม. ตท. ๑๓.๓๙๖ ธมฺมปท ภาค ๕ พุทธอุทาน ธัมมจักกับปปวัตนสูตร วิ.ม. ๔.๒๑ อาทิตต. ๔.๒๘/๖๐ พรหมสูตร ขุ.อิ. ๒๕.๒๕๒ มหาตัณหาสังขยสูตร ม.ม. ๑๒.๓๙๘ มหานิทานสูตร ที.ม. ๑๐.๖๘-๖๙ ขุ.ปฏิ. ๓๑.๙-๑๑ ปฏิสนธิ มหาสกุลุทายิสูตร ม.ม.
๑๓.๓๓๓
๒. แสง จันทร์งาม, ตายแล้วเกิด, หลักพุทธศาสนา, โครงการส่งเสริมความรู้สังคมศึกษา, คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ๒๕๒๘.
๓. ตายแล้วเกิดจริงหรือ? คำอภิปรายของธัมมานันทภิกขุ เสถียรโพธินันทะ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย, ๒๕๐๔.
๔. บุญมี เมธางกูร คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร ,กรุงเทพ,อภิธรรมมูลนิธิวัดพระเชตุพน ๒๕๐๓. ฯล


Credit: http://www.geocities.com/watmai2001/tipitaka_16.htm
#นานาสาระ
sekimi
เจ้าของบทประพันธ์
สมาชิก VIPสมาชิก VIPสมาชิก VIP
13 ม.ค. 53 เวลา 14:40 3,365 5 58
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...