พิษณุโลกตื่น แผ่นดินลุกเป็นไฟ-ประกาศเขตห้ามเข้าแล้ว หลังพบก๊าซอันตราย!! (มีคลิป)

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่บริเวณริมถนนสายบ้านแยง-นครไทย ม.9 ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ก่อนเข้าตัวอำเภอนครไทย 1 กิโลเมตร ชาวบ้านอำเภอนครไทยจำนวนมากต่างแตกตื่นกับปรากฏการณ์พื้นดินร้อนระอุ อุณหภูมิสูงอย่างมาก และมีควันไฟพวยพุ่งจากใต้ดินขึ้นมาตลอดเวลา ควันไฟที่ร้อนแรง ลองเอาเศษไม้เศษกระดาษ ใบไม้แห้ง หรือกระสอบป่านไปวางไว้ใกล้บริเวณที่เกิดเปลวไฟ จะทำให้เกิดไฟลุกขึ้นทันที

 

ด้านนายเกรียงวิชญ์ ไกรพวิมล นายอำเภอนครไทย ได้สั่งรถดับเพลิงเทศบาลตำบลนครไทยมาจอดเตรียมความพร้อมตลอดเวลา เพื่อฉีดน้ำสกัดไม่ให้ไฟลุกลาม พร้อมนำเชือกกั้นพื้นที่ที่มีควันไฟระอุจากใต้ดิน เนื้อที่ประมาณ 1 งาน เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปในบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด เนื่องจากอันตรายอย่างมาก มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บจากการเดินผ่านบริเวณดังกล่าว แล้วตกลงไปในหลุมไฟ ถูกไฟลวกขาทั้งสองถึงหัวเข่า และมีสุนัขวิ่งผ่านบริเวณดังกล่าวถูกไฟเผาไหม้เสียชีวิตแล้ว 4 ตัว

 

จากการสอบถาม ทราบว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรายแรกชื่อ นายละเอียด ทองสม เป็นคนในพื้นที่ซึ่งเดินเข้าไปนำจักรยานที่จอดอยู่ในบริเวณโรงเลื่อยเก่าออกมา แต่ระหว่างทางถูกไฟลวกที่เท้าได้รับบาดเจ็บ

 

ส่วนรายที่สองชื่อนายชาตรี บุญญฤทธิ์ เจ้าของ หจก.ชาตรี บุญญฤทธิ์ ซึ่งมีที่ดินใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ และกำลังมีการก่อสร้างโรงงานรีดแผ่นสังกะสีมุงหลังคา ได้เดินไปตามหาสุนัข ปรากฏว่า ขณะเดินเข้าไปเกิดดินยุบตัว ทำให้ขาทั้งสองข้างจมดินถึงหัวเข่าถูกไฟไหม้ผิวหนังลอกถึงเนื้อ โชคดีที่มีนายจำนค์ ภูอ่อน คนงานวิ่งไปช่วยดึงตัวขึ้นมาได้ แต่ขาทั้งสองถูกไฟไหม้บาดเจ็บอาการสาหัส ทางญาติได้พาตัวไปรักษาอยู่ที่จ.ลำปาง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านอำเภอนครไทย และผู้คนที่ผ่านมาจำนวนมาก ต่างแตกตื่นกับปรากฏการณ์นี้มาก ได้เดินทางมาดูปรากฏการณ์ดินร้อนระอุอย่างไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่ ต้องกั้นเชือกและกันไม่ให้เข้าใกล้ พร้อมกับส่งตำรวจมารักษาความปลอดภัย ห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปโดยเด็ดขาด ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่รายหนึ่งระบุว่า เดิมพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นโรงเลื่อยเก่า อาจจะมีเศษขี้เลื่อยอัดแน่นอยู่ใต้ดินก็เป็นได้

 

วันเดียวกัน นายนิทัศน์ ภู่วัฒนกุล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของกรมทรัพยากรธรณี จ.ลำปาง เข้าไปตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือเจาะพื้นดินในบริเวณดังกล่าว 6 จุด พบว่า พื้นที่นี้เคยเป็นโรงเลื่อยมาก่อน ทำให้มีขี้เลื่อยเป็นจำนวนมากและทับถมกันมานาน บางจุดกองขี้เลื่อยมีความหนาถึง 2 ม. และมีความหนาน้อยสุด 80 ซม.

 

ซึ่งเหตุที่มีไฟระอุอยู่ใต้พื้นดินนั้น เกิดจากในช่วงน้ำท่วมได้พัดพาตะกอนดินเหนียวไปทับถมกับกองขี้เลื่อย แล้วเกิดการย่อยสลายเป็นก๊าชมีเทน และในบริเวณนั้นมีการตอกเสาเข็มอยู่ด้วย ทำให้ก๊าชเกิดการรั่วไหลประกอบกับอุณหภูมิโลก จึงเกิดปฏิกิริยาสันดาปจากคลื่นความร้อน และเกิดเป็นประกายไฟดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตามพื้นที่ดังกล่าว ไม่ใช่หินภูเขาไฟ และไม่มีรอยเลื่อนที่มีพลังขนาดใหญ่ จึงมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้น้ำเลี้ยงความร้อนเอาไว้ คาดว่าประมาณ 2-3 วัน พื้นที่ดังกล่าวก็จะกลับสู่ภาวะปกติ

 

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ถึงสาเหตุเบื้องต้นของปรากฏการณ์ประหลาดที่ จ.พิษณุโลก ว่า แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สาเหตุจากมนุษย์และธรรมชาติ

 

โดยสาเหตุที่มาจากมนุษย์นั้น ตนทราบจากข่าวว่าบริเวณเกิดเหตุในอดีตเคยเป็นโรงเลื่อย จึงอาจทำให้มีเศษวัสดุซึ่งสามารถติดไฟตกค้างอยู่ โดยเมื่อเวลาผ่านไปทำให้วัสดุดังกล่าวถูกกลบอยู่ใต้ผืนดินและเกิดการปะทุขึ้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าโรงเลื่อยดังกล่าวเลิกกิจการไปแล้วนานกว่า 30 ปี สาเหตุนี้จึงน้อยมีโอกาสน้อย


ส่วนอีกกลุ่มสาเหตุที่มาจากธรรมชาตินั้น แบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท ได้แก่ ความร้อนจากการปะทุของภูเขาไฟใต้ดิน โดยเท่าที่ตรวจสอบพบว่าเคยเกิดการปะทุเมื่อ 1 หมื่นปีที่แล้ว อย่างในจ.ลพบุรี และจ.เพชรบูรณ์ แม้โอกาสที่กลับมาปะทุอีกเป็นไปได้แต่ก็ยังมีโอกาสน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเภทต่อมา คือ ความร้อนจากการเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนมีพลัง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่สุด


ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบรอยเลื่อนในบริเวณใกล้เคียงมีรอยเลื่อน "น้ำภาค" ซึ่งพาดผ่านอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ 48 กิโลเมตร แต่ยังไม่ปรากฎเป็นที่แน่ชัดว่าจัดเป็น "รอยเลื่อนมีพลัง" หรือไม่ แต่หากรอยเลื่อนใดที่เกิดการเคลื่อนที่แล้วส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์อย่างนี้ขึ้นได้ก็จะถือว่าเป็นรอยเลื่อนมีพลังโดยในบริเวณใกล้เคียงมักจะพบบ่อน้ำพุร้อนด้วย

 

อย่างไรก็ดี ความร้อนที่เกิดขึ้นอาจมาจากการที่ตำแหน่งเกิดเหตุตั้งอยู่บนรอยเลื่อน ประจวบกับองค์ประกอบด้านอื่นๆ เช่น ความแห้งแล้งทำให้ไม่มีฝนตกลงมาช่วยระบายความร้อน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวทราบว่ามีฝนตกน้อยมากตั้งแต่ต้นปี 2555 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการระอุขึ้น หรืออีกกรณีหนึ่ง คือ ความร้อนถูกพามาจากรอยเลื่อนในบริเวณใกล้เคียง


อย่างไรก็ตาม การสืบหาสาเหตุจะต้องมีการลงพื้นที่สำรวจ โดยระยะเวลาพิสูจน์ขึ้นกับชำนาญของเจ้าหน้าที่ ซึ่งบางกรณีอาจบอกได้ทันที หรือขุดเป็นร่องเพื่อสำรวจ แต่หากขุดไม่ได้เพราะอุณหภูมิสูงมาก ก็จะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษยิงคลื่นสั่นสะเทือนลงไปใต้ผิวดิน โดยตนต้องการลงไปสำรวจพื้นที่แต่ขณะนี้ติดภารกิจ ทั้งนี้ตนคิดว่า ในพื้นที่น่าจะมีนักธรณีวิทยาผู้เชี่ยวชาญอยู่และเดินทางไปสำรวจ คาดว่าคงใช้เวลาไม่นานในการหาสาเหตุ

 

เย็นวันเดียวกัน นายกิตติ พุฒิกานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ในวันนี้กรมควบคุมโรคได้นำเครื่องมือตรวจวัดก๊าซพิษในบรรยากาศเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุผลปรากฏว่าพบก๊าซหลายชนิด ทั้ง มีเทน แอมโมเนีย ที่มีปริมาณน้อย แต่ตัวที่มีปัญหามากมีสองชนิด คือ คาร์บอนไดซัลไฟด์ หรือ CS 2 ตรวจพบรอบหลุมไฟอยู่ที่ 23 ppm เกินค่ามาตรฐานทั่วไปที่ 20 ppm และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือ SO 2 ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.12 ppm แต่ตรวจพบมากกว่าค่ามาตรฐาน 55 เท่า

 

นายกิตติกล่าวต่อว่า ตัวที่มีปัญหาและน่าห่วงคือมากที่สุด ก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ ที่ตรวจพบเกินค่ามาตรฐานมา 23 ppm นั้น เป็นก๊าซที่อันตรายสำหรับผู้สูดดมอย่างมาก คาร์บอนไดซัลไฟด์เป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศ เวลาลอยตัวจะลอยเรี่ยพื้น จึงอยู่ในระดับที่จมูกคนยืนพอดี สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทั้งทางผิวหนัง และทางเดินหายใจ ในระยะสั้นจะมีการระคายเคืองที่ดวงตา และผิวหนัง

 

และถ้าได้รับเวลาหลายวัน จะมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ประสาทตา อักเสบ ถ้าระยะยาวจะเจ็บหน้าออก ปวดกล้ามเนื้อ ความจำเสื่อม คล้ายคนป่วยโรคพาร์กินสันที่สั่นตลอด รวมทั้งอาจผิดปกติทางสมอง เส้นประสาทอักเสบ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถือเป็นอันตรายมาก สำหรับคนที่อยู่ใกล้ ขอแนะนำว่าควรอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 500 เมตร

 



 

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...