พลันที่ เนวิน ชิดชอบ นายใหญ่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เกิดความสงสัยว่าทำไม? บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ผู้ควบคุมการแข่งขันฟุตบอล "สปอนเซอร์ไทยพรีเมียร์ลีก" ลีกสูงสุดของประเทศ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
แต่กลับไม่มีเงินที่จะสนับสนุนการแข่งขันลีกเยาวชน ตามข้อบังคับของ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี กำหนดไว้ ในการประชุม 18 สโมสรครั้งที่ 2 ที่ชลบุรีเป็นเจ้าภาพ เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดเป็นวลีเด็ดว่า "เงินหายไปไหน?"
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง 2 กลุ่มคือ บริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก และสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่นำโดย "บังยี" วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ กับกลุ่มบุรีรัมย์ที่มี "บิ๊กเน" เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อดีตนักการเมืองชื่อดังที่หลงไหลกีฬาลูกหนังชนิดเข้าเส้นเป็นตัวชูโรง
แม้ว่าตลอดเวลาหลังจากที่นายเนวินจุดประเด็นกรณีเงินของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกหายไปไหน ตลอดจนเรื่องการสิทธิประโยชน์ของฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ทางสยามสปอร์ตฯ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องสิทธิประโยชน์จะพยายามออกมาชี้แจงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกฝ่ายหายสงสัย
ทว่าเรื่องต่างๆ กลับไม่ยุติลง แต่กลับร้อนแรงขึ้น เมื่อคอลัมน์นิสต์ในเครือสยามสปอร์ตพยายามชี้แจง และโจมตีการกระทำของนายเนวินว่าเป็นวิถีทางของนักการเมืองที่พยายามจะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากวงการฟุตบอล จนทำให้ฝั่งบุรีรัมย์ต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกเพื่อชี้แจงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น และเป็นที่มาของจดหมายเปิดผนึกอันลือลั่น ตามมาด้วยการถอนตัวจากการดูแลสิทธิประโยชน์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกของกลุ่มสยามสปอร์ตฯ
หลังตอบโต้กันมาอยู่นาน ล่าสุดเรื่องทุกอย่างกลับมาระอุ! อีกครั้งในการประชุมชี้แจงการบริหารสิทธิประโยชน์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมสมาคมฟุตบอลฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอล เผชิญหน้ากับ นายเนวิน ชิดชอบ บอสใหญ่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
และเป็นไปตามคาด นายใหญ่ฝั่งบุรีรัมย์ได้ซักถามเรื่องที่ค้างคาใจอย่างดุเดือดชนิด "วันแมนโชว์" แต่ฝั่งประมุขลูกหนังก็พยายามตอบคำถามทุกประเด็นอย่างร้อนแรง ก่อนที่จะทิ้งไพ่ใบสุดท้ายด้วยประโยคที่สุภาพแต่ลึกซึ้ง
"สัปดาห์หน้าจะส่งหนังสือเชิญเข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาลหน้า ซึ่งจะระบุรายละเอียดต่างๆเอาไว้ หากสโมสรใดเห็นด้วยก็ให้ยอมรับเข้าร่วมการแข่งขัน แต่หากสโมสรใดไม่เห็นด้วยก็ขอให้แสดงเจตจำนงค์ไม่เข้่าร่วมการแข่งขัน ซึ่งทางสมาคมฯจะนำทีมจากดีวิชั่น 1 ขึ้นมาเล่นแทนเพื่อให้ครบจำนวนทีมต่อไป"
เกมนี้จะบีบบังคับให้"เนวิน"ต้องตัดสินใจ เพราะหากลงนามในหนังสือตอบรับก็แสดงว่ายอมรับเงื่อนไขและรายละเอียดที่สมาคมฯแจ้งไปแล้ว ดังนั้น หากมีปัญหาภายหลังทางสมาคมฯก็อ้างได้ว่า"เนวิน"รู้เงื่อนไขและยอมรับก่อนแข่งขันแล้ว
นับเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่นายกสมาคมฟุตบอลทิ้งลงมาหยั่งเชิงว่าใครจะอยู่ฝั่งไหน? และเป็นไพ่ที่ทำให้เนวินต้องหนักใจว่าจะเดินเกมต่อไปอย่างไร?
เพราะสโมสรต่างๆยังวางตัว"เป็นกลาง"และพึงพอใจกับ"ไทยพรีเมียร์ลีก"ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ย่อมไม่เสี่ยงที่จะเป็นศัตรูกับสมาคมฟุตบอลฯ
คำขู่ของ"เนวิน"เรื่องการจับมือกับสโมสรต่างๆตั้ง"ลีกใหม่"ขึ้นมาย่อมไม่ได้รับการขานรับจากสโมสรฯต่างๆ เพราะเกรงว่าจะเป็นการหนี"เสือ"ปะ"จระเข้"
นอกจากนั้นแม้ว่า "เนวิน" จะบอกอยู่ตลอดว่าไม่ได้มีปัญหากับบริษัทสยามสปอร์ตฯ แต่มีปัญหากับการทำหน้าที่ของสมาคมฟุตบอลฯ ที่บริหารงานโดย "บังยี"
แต่อย่าลืมว่า สมาคมฟุตบอลฯ มีสยามสปอร์ตฯ ยืนเคียงข้างเสมอ และยังมีสื่อยักษใหญ่หลายสื่อเป็นพันธมิตร
เท่ากับว่าการต่อสู้ของ "เนวิน" ครั้งนี้ ไม่ได้ต่อสู้กับสมาคมฟุตบอลเพียงอย่างเดียว
ในขณะที่สถานภาพการเป็นพรรคการเมือง"ฝ่ายค้าน" ย่อมทำให้พลานุภาพของ"เนวิน"ไม่เหมือนในอดีต
"เนวิน" อาจชำนาญกับการต่อสู้บนถนนการเมือง แต่บนถนนลูกหนังมันต่างกัน
และนับจากนี้ไปเส้นทางของ "บุรีรัมย์" บนถนนลูกหนังรับรองว่า
ไม่ง่ายแน่...!?!?