พระราชประวัติ พระสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรมรังษี

 

อมตพระเถระ

 

สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรมรังษี

ชาตะ ขึ้น 12ค่ำ เดือน4 ปีวอก

ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่17 เมษายน 2331(จ.ศ1150)

เวลา 6.34 นาฬิกา มรณะ แรม2ค่ำ เดือน8 ปีวอก

ตรงกับวันเสาร์ที่22มิถุนายน พศ.2415(จศ.1235)

เวลาเที่ยงคืน 24.00นาฬิกา รวมชนม มายุ84ปี

2เดือนกับอีก 5วัน

 

 

คติธรรม

ปราชญ์แท้ ไม่คุยฟุ้งอวดตน

คนดี ไม่เที่ยวยกสอพลอ

คนเก่ง ย่อมทะนงอย่างเงียบ

คนชั่ว อวดรู้ดีทั่วภพ

คนโง่ อวดฉลาดมากมาย

สิ่งทั้งหลายท่านเห็นมีทุกที่เอย

สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

ในบรรดาเกจิอาจารย์ที่โด่งดังเป็นอมตะในประเทศไทย คงไม่มีใครเกินท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม

ท่านเป็นยอดอัจฉริยบุคคลที่ควรเคารพบูชา เป็นพหูสูตรอบรู้ทั้งทางโลกทางธรรม มีความเจนจบทั้งพุทธศาสตร์และไสยศาสตร์

ประวัติของท่านพิสดารชนิดที่เรียกว่า ไม่มีใครเหมือน และใครจะทำเหมือนท่านไม่ได้

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นนักเทศน์ที่หาตัวจับยากในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ท่านได้แสดงความเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เยาว์ ทั้งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดิน และประชาชนคนเดินดินทั่วไป คุณวิเศษสำคัญประการหนึ่งของท่าน คือ สามารถเทศน์ให้ใครหัวเราะก็ได้ เทศน์ให้ใครร้องไห้ก็ได้ เทศน์ให้คนเทกระเป๋าทำบุญก็ได้

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นนักโหราศาสตร์ ทำนายดวงชะตาได้แม่นยำนัก และยังเป็นนักใบ้หวยที่โด่งดังผู้หนึ่ง

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี มีชนมชีพอยู่ถึง ๕ แผ่นดิน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านเป็นโอรสนอกเศวตฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหน้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งพระราชวงศ์จักรี กับ งุด สาวงามแห่งเมืองกำแพงเพชร บุตรีของนายผลและนางลา

สมภพ

 

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ สมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ เวลา ๖.๓๕ น. ที่จังหวัดพิจิตร

ย้อนประวัติศาสตร์ไปในปี พ.ศ. ๒๓๓๐ ประเทศสยามในขณะนั้นติดพันทั้งศึกเหนือและใต้ ทางเหนือพม่ายกกำลังเข้าตีเมืองนครลำปางและป่าซาง ทางใต้เกิดศึกเมืองทวายขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงมีพระราชโองการให้กองทัพไทยเคลื่อนกำลังเข้ายันศึกทั้งสองด้าน ทางหนึ่งเคลื่อนทัพยกไปตีเมืองทวาย เมื่อเดือนยี่ขึ้นห้าค่ำ ปีมะแม อีกทางหนึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฉิม กรมหลวงอิสรสุนทร เป็นแม่ทัพยกไปปราบ

ในราวเดือนเก้า ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๓๐ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร แม่ทัพใหญ่ เดินทัพถึงวัดเกศไชโย (ปัจจุบันชื่อ วัด ไชโยวรวิหาร) ก็ได้ตั้งค่ายหลวง ณ ที่นั้น เนื่องจากทรงเห็นว่าเมืองอ่างทองเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ พืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์ จึงมีพระบัณฑูรให้เหล่าทหารไปจัดหามา เพื่อส่งกำลังบำรุงกองทัพ ขณะนั้นมีแม่สาวน้อยนางหนึ่งชื่อ งุด พายเรือขายกระท้อนอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา มหาดเล็กของเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์เห็นเป็นสาวสวยผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าหมดจดงดงามยิ่งกว่าสาวใดในละแวกนั้น ก็เกิดความคิดจะเอาความชอบ จึงใช้อุบายชักพานางสาวงุด เข้าไปยังค่ายแม่ทัพ

ด้วยบุพเพสันนิวาส เจ้าคุณแม่ทัพใหญ่ทรงรู้สึกพึงตาพึงใจในสาวงามชาวกำแพงเพชร จึงชวนแม่สาวงุดร่วมเรียงเคียงเขนยอยู่ในค่ายทหารหนึ่งราตรี ก่อนจะพรากจากกัน ท่านแม่ทัพได้ประทานรัดประคดผืนหนึ่ง เพื่อมองให้กับบุตรที่อาจจะเกิดมา มีรับสั่งว่า ถ้าคลอดบุตรเป็นชายให้ตั้งชื่อว่า "โต" ถ้าคลอดเป็นหญิงให้ตั้งชื่อว่า "เกศแก้ว" หลังจากกำชับเรียบร้อยแล้ว ประทานเงินให้จำนวนหนึ่ง พร้อมกับให้มหาดเล็กนำไปส่งบ้าน จากนั้นท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็เคลื่อนทัพออกจากวัดเกศไชโย

กาลเวลาผ่านไป ทารกในครรภ์ก็โตขึ้น เกิดข่าวลือว่า แม่งุดเป็นหญิงชั่ว แม่งุดจึงตัดสินใจลงเรือน้อยล่องสู่บางกอก ผ่านคลองบางกอกน้อย เพื่อสืบเสาะหาพ่อของเด็ก เมื่อไต่ถามชาวบ้านจนรู้แน่ว่าบิดาของเด็กเป็นเจ้าฟ้า ไม่ได้เป็นแม่ทัพธรรมดาอย่างที่คิด ด้วยความเจียมตัวเจียมใจในชาติตระกูลที่ต่างกัน สาวน้อยก็ไม่กล้าเข้าไปเฝ้า จึงบ่ายหัวเรือกลับอ่างทอง บอกบิดาว่าพ่อของลูกในท้องเป็นเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์ ตาผลถึงกับเป็นลมพับ หลังจากนวดเฟ้นจนฟื้นแล้ว สาวงามเมืองกำแพงเพชร ได้ปรึกษากับตาผลผู้บิดาว่า จะจัดการอย่างไรกับเด็กในครรภ์ที่โตขึ้นทุกวัน ในที่สุดทั้งสองมีความเห็นว่าจะคลอดบุตรที่อ่างทองนั้น คงไม่ได้ ชาวบ้านที่ไม่รู้ความจะประณามให้ต้องอับอาย จึงตัดสินใจละบ้านที่อ่างทอง พายเรือแล่นทวนน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไปคลอดบุตรที่บ้านญาติในจังหวัดพิจิตร (หน้าวัดท่าหลวง วัดสำคัญของจังหวัดพิจิตร มีหลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ประดิษฐาน)

ครั้นถึงกำหนดทศมาส นางงุดเจ็บครรภ์หนัก พอลุถึงเวลา ๐๖.๓๕ น. วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๓๑ ตรงกับวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก ชีวิตน้อย ๆ ชีวิตหนึ่งได้ลืมตามองโลก ท่ามกลางความทุลักทุเล ไม่มีแม้แต่หมอตำแยจะช่วยทำคลอด มีแต่ตาผลวิ่งงก ๆ เงิ่น ๆ ช่วยทำคลอด จนกระทั่งทารกน้อยเพศชายรูปร่างเล็ก ๆ คลอดออกมา และตั้งชื่อว่า "โต" แต่นั้นมา

บรรพชา

เด็กชายโต รูปร่างเล็กตัวกระเปี๊ยกเลี้ยก เพราะการกินอยู่ไม่สมบูรณ์ อยู่จังหวัดพิจิตรได้ระยะหนึ่ง แม่งุดกับตาผลได้อพยพกลับถิ่นเดิมที่อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ในขณะเยาว์วัย เด็กชายโตเห็นพระเห็นผ้าเหลืองก็มีใจผูกพันอยากบวช จึงอ้อนวอนขอแม่งุด ซึ่งทีแรกปฏิเสธ เพราะต้องการให้เด็กชายโตช่วยทำมาหากินเลี้ยงแม่เลี้ยงตา แต่เมื่อถูกรุกเร้าอ้อนวอนมาก ๆ ทั้งแม่งุดและตาผลก็ยินยอมให้บวช โดยพาไปบวชเณรที่สำนักสงฆ์ใหญ่กับพระอาจารย์แดง (ซึ่งต่อมาสร้างเป็นวัดไชโยวรวิหาร แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า วัดเกศไชโย) ขณะที่บวชเป็นเณรนั้น เด็กชายโต มีอายุ ๗ ขวบแล้ว

เมื่อท่านบวช ท่านซาบซึ้งในรสพระธรรม ทุกวันค่ำเช้า ท่านจะขลุกอยู่กับตำราคำภีร์และปรนนิบัติอาจารย์สม่ำเสมอเรื่อยมา เป็นที่รักใคร่ของอาจารย์และคนทั่วไป ครั้นบวชได้หนึ่งพรรษา แม่งุดและตาผลก็มาชักชวนให้สามเณรโตลาสิกขา แต่สามเณรโตขอบวชต่อ เพราะติดใจในพระธรรม มารดาและตาไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ปล่อยให้บวชไปเรื่อย ๆ ผ่านไปสัก ๓ พรรษา สามเณรโตมีอายุ ๑๐ ขวบ ท่านก็ยังไม่ยอมสึกตามที่มารดาของท่านพยายามให้สึก

เข้าบางกอก

สมัยนั้นหน้าวัดเกศไชโย มีเรือสำเภาล่องมาจากทางเหนือ คือ ทางปากน้ำโพผ่านมาจอดเสมอ สามเณรโตคิดว่า ขืนอยู่อ่างทองนี้ต้องสึกแน่ เพราะมารดาและตาของท่านฝากความหวังไว้กับท่าน ต้องการให้สึก จึงอ้อนวอนรบเร้าท่านอยู่เสมอ ท่านไม่อยากสึก จึงได้สอบถามทางเรือสำเภาว่า ลำไหนบ้างที่พรุ่งนี้เช้าจะล่องไปบางกอก ก็ได้มีไต้ก๋งแดงกัปตันเรือสำเภาของ เจ๊กหลง บอกว่า พรุ่งนี้จะล่องเรือเข้าบางกอกตอนตีห้า เณรจะไปไหน

สามเณรโตก็บอกไต้ก๋งว่า ท่านจะไปเที่ยวบางกอก แล้วก็กลับไปเก็บข้าวของเตรียมเดินทาง

คืนนั้นท่านนอนไม่หลับ เพราะได้เกิดการต่อสู้ทางความคิดขึ้นในจิตใจของท่านเป็นอย่างมาก ตากับแม่ฝากความหวังไว้ที่ท่าน แต่ท่านนั้นดื่มด่ำในรสพระธรรม เกินกว่าจะตัดสินใจทำตามความต้องการของโยมแม่ ท่านตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะหนีไปโดยไม่บอกกล่าว และตั้งใจสนองคุณโยมแม่ในภายหลัง โดยเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งได้ตอบแทนพระคุณของพระพุทธบิดาและพระพุทธมารดาในภายหลัง

รุ่งเช้าตีห้า สามเณรโตเก็บจีวรลงเรือโดยไม่บอกทางบ้าน พอเรือถึงท่าวัดอินทร์ สามเสน ก็งงไปรู้จะไปหาใคร สามเณรโตสะพายย่ามเดินเข้าวัดบางขุนพรหมนอก (วัดอินทรวิหารในปัจจุบัน) พบพระอรัญญิก (ด้วง) เจ้าอาวาสวัดบางขุนพรหมนอก นักคอยท่าอยู่

ทันทีที่พบหน้าสามเณรโต พระอริญญิกเถระ (ด้วง) ก็โพล่งออกมาว่า "นั่นแน่มาแล้ว เมื่อคืนฉันฝันว่ามีช้างป่าตัวหนึ่งมาที่นี่ แล้วก็เข้าไปไสพระไตรปิฎกของฉันพังหมดเลย ต้องเป็นเธอแน่ เอาอย่างนี้ มาอยู่กับฉันก็แล้วกัน"

สามเณรโตได้ศึกษาอักขรสมัยทั้งสยามและขอมในสำนักเจ้าคุณพระอรัญญิกเถระจนแตกฉานดีแล้ว วันหนึ่งท่านรำลึกถึงโยมแม่ จึงได้เขียนจดหมายไปบอกว่าจะบวชไม่สึก ขณะนี้เป็นศิษย์อยู่ที่สำนักเจ้าคุณวัดบางขุนพรหมนอก

แม่งุดเมื่อได้รับหนังสือบอกข่าวจากสามเณรโตก็มีจดหมายส่งกลับมาว่า "เรื่องจะบวชไม่สึกนั้น โยมไม่ว่า แต่ขอให้กลับมาก่อน โยมมีอะไรจะสั่งเสียบางอย่าง"

สามเณรโตเข้านมัสการลาท่านเจ้าคุณพระอรัญญิก (ด้วง) และเดินทางกลับสู่บ้านไชโย แขวงเมืองอ่างทองอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากสองแม่ลูกพบกัน ต่างก็ถามไถ่ความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน สามเณรโตก็เล่าถึงเรื่องหนีแม่ไปศึกษาธรรมที่บางกอก ตลอดจนตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะบวชไม่สึก แม่งุดเอ่ยว่า "เอ็งจะเป็นพุทธสาวกก็ไม่ขัดเอ็ง เอ็งเป็นลูกพระพุทธเจ้าได้เลย แต่ถ้าเอ็งตั้งใจไปอยู่บางกอกจริงแล้ว เอ็งจงเอารัดประคดนี้ไว้ วันใดที่ได้เข้าเฝ้าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เอ็งจงใช้รัดประคดนี้ให้เป็นประโยชน์ แล้ววันนั้นเอ็งจะรู้ว่าพ่อเอ็งเป็นใคร"

สามเณรโตรับคำและกล่าวว่าจะจำใส่ใจ ต่อจากนั้นสามเณรก็ย้ำถึงปณิธานอันแน่วแน่ว่า จะขออยู่ใต้ผ้ากาสาวพัสตร์ตลอดชีพ แม่งุดก็ไม่ขัด จึงไม่รุกเร้าให้ลาสิกขาอีก

ในวันรุ่งขึ้น ตาผล แม่งุด และสามเณรโต ได้ล่องเรือมาขึ้นที่ท่าบางลำพูบน ทั้งสามได้เข้าพบ พระอาจารย์แก้ว ที่วัดบางลำพูบน (วัดสังเวชฯ) ตาผลได้กล่าวฝากสามเณรโตแก่พระอาจารย์แก้ว ขอให้ช่วยอบรมสั่งสอนพระธรรมเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาสืบไป พระอาจารย์แก้วรับปากจะทำนุบำรุงสามเณรให้ดีที่สุด เพราะเล็งในฌานแล้วว่าสามเณรน้อยรูปนี้ ต่อไปจะเป็นหลักชัยของพระศาสนาและของราชอาณาจักรสยามด้วย

สามเณรโตมีนิสัยขยัน หลังจากปรนนิบัติอาจารย์แล้ว มีเวลาว่างยามใดมักจะเอาอักขรคัมภีร์มาท่องบ่นศึกษาเป็นประจำ ความข้อใดไม่เข้าใจก็ไต่ถามพระอาจารย์แก้ว จนกระทั่งแตกฉานในพระธรรม พระอาจารย์แก้วหมดภูมิจะถ่ายทอด จึงแนะนำให้สามเณรไปศึกษาต่อที่วัดระฆังฯ เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม

ไปวัดระฆังฯ

ก่อนวันที่สามเณรโตจะไปวัดระฆังฯ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ได้ฝันว่า มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง ได้เข้ามากัดกินหนังสือพระไตรปิฎกในตู้ของท่านจนหมดสิ้น จนท่านตกใจตื่น เมื่อพิจารณาความฝันอันประหลาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ท่านก็คิดว่า ชะรอยจะมีผู้นำเด็กที่มีสติปัญญาดีมาฝากเป็นศิษย์ศึกษาบาลี และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เด็กคนนี้ต่อไปจะเป็นผู้มีคุณธรรมในด้านพระปริยัติอย่างวิเศษทีเดียว

ด้วยความเชื่อมั่นในนิมิตนี้ ในวันรุ่งขึ้นท่านจึงได้สั่งพระเณรในวัดเป็นการล่วงหน้าว่า "วันนี้ถ้ามีอะไรมาให้รับเอาไว้"

วันนั้นสามเณรโตเก็บอัฐบริขารใส่ย่าม เข้านมัสการลาพระอาจารย์แก้ว แล้วเดินทางไปวัดระฆังฯ กับเด็กวัดบางลำพูบน โดยพายเรือไป พอข้ามแม่น้ำมาวัดระฆังฯ ขอเข้าพบท่านเจ้าอาวาส เณรรับใช้เจ้าอาวาสบอกว่าท่านสมเด็จไม่อยู่ และไม่ให้ขึ้นกุฏิ คนพายเรือศิษย์พระอาจารย์แก้วที่ไปด้วยกัน ก็นำสามเณรโต ฝากไว้กับเจ๊กขายกาแฟหน้าวัดระฆังฯ นั้นเอง วันนั้นสามเณรโตอดฉันเพลไปหนึ่งมื้อ

บ่ายวันนั้นเอง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ กลับจากฉันเพล ได้ถามศิษย์วัดว่า "มีใครเอาอะไรมาฝากในวันนี้ไหม?" ศิษย์วัดตอบว่า "ไม่มีใครเอาอะไรมาฝาก มีแต่คนจะฝากเณรเป็นศิษย์วัด" ท่านเจ้าประคุณสมเด็จถามว่า ตอนนี้เณรนั้นอยู่ที่ไหน ลูกศิษย์วัดตอบว่า อยู่ที่ร้านกาแฟหน้าวัดระฆังฯ ท่านเจ้าอาวาสจึงมีบัญชาให้รีบตามมา

ทันทีที่พบหน้าก็รู้สึกถูกชะตา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้กวักมือเรียกให้เข้ามาคุยในกุฏิ สามเณรโตก็ถวายหนังสือฝากจากพระอาจารย์แก้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ออกปากรับสามเณรโตเป็นลูกศิษย์ให้ศึกษาพระบาลี และ พระปริยัติธรรมนับแต่นั้นมา โดยให้พำนักที่กุฏิแดงข้างวัดระฆังฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

พอสามเณรโตอายุได้ ๑๘ ปี ท่านเป็นเณรนักเทศน์ที่หาตัวจับยาก แสดงธรรมได้ลึกซึ้งเข้าถึงจิตใจชาวบ้าน ท่านพระโหราธิบดี พระวิเชียร และเสมียนตราด้วงพิจารณาเห็นว่า สามเณรโตเทศน์ได้จับใจนัก จึงปรึกษาเห็นควรว่าจะต้องนำไปถวายตัวแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร ซึ่งมีประชนมายุ ๓๘ พรรษา เป็นปีที่ ๒๓ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๔๘

เข้าเฝ้า

ครั้นถึงเดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีฉลู เบญจศก (จ.ศ. ๑๑๖๗) พระโหราธิบดี พระวิเชียร และเสมียนตราด้วง ได้นำเรื่องที่จะนำสามเณรโตเข้าเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้าฯ หารือกับพระอาจารย์แก้ว ท่านก็เห็นดีงามด้วย และเรียกสามเณรโตอบรมสั่งสอนให้รู้ขนบธรรมเนียมการเดินนั่ง พูดจากับเจ้านายให้ใช้ถ้อยคำให้เหมาะถ้อยเหมาะคำ อย่ากลัว อย่าตกใจ อย่าให้มีความสะทกสะท้าน ให้พูดโดยคิดใคร่ครวญก่อน

สามเณรโตน้อมคำนับรับคำสอนของพระอาจารย์ แล้วเข้าห้องน้ำชำระกาย ทาขมิ้น ครองผ้าจีวร และคาดรัดประคดที่โยมแม่มอบให้ เสร็จแล้วพระโหราธิบดี พระวิเชียร เสมียนตราด้วง และสามเณรโตก็ลงเรือแหวด ๔ แจว แล่นลำไปยังท่าตำหนักแพ หน้าพระราชวังเดิม แล้วนำพาเณรขึ้นไปบนท้องพระโรงในพระราชวังเดิม ณ ฝั่งธนบุรีใต้วัดระฆังนั้น

ฝ่ายพนักงานหน้าท้องพระโรง นำความขึ้นกราบทูลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทรว่า พระโหราธิบดี พาสามเณรมาเฝ้า จึงเสด็จออกท้องพระโรง ทรงปราศรัยทักถามพระโหราธิบดี พระวิเชียร และเสมียนตราด้วง แล้วได้ทรงสดับคำพระโหราธิบดีกราบทูลเสนอคุณสมบัติของสามเณรขึ้นก่อน เพื่อให้ทรงทราบ จึงทอดพระเนตรสามเณรโต ทรงเห็นสามเณรโตเปล่งปลั่งรังษีกายออกงามมีราศี และมีรัดประคดหนามขนุน อย่างขุนนาง นายตำรวจใหญ่ คาดบริขารมาด้วย

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร ทรงพระเกษมสันต์โสมนัสยิ่งนัก ไม่เคยมีครั้งใดจะแสดงให้เห็นอย่างออกหน้าเช่นนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ องค์รัชทายาท ผู้จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อสมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จ ฯ ตรงเข้าจับมือสามเณรโต จูงมาให้นั่งพระเก้าอี้เคียงพระองค์ แล้วทรงถามว่า "สามเณรเป็นคนบ้านไหน? "

สามเณรทูลตอบว่า "ขอถวายพระพร อาตมภาพเป็นชาวไชโย".

ทรงถามต่อไปว่า "โยมแม่ชื่ออะไร?"

สามเณรทูลตอบว่า "แม่งุด ขอถวายพระพร"

สมเด็จเจ้าฟ้ารับสั่งถามว่า "อายุเท่าไร?"

สามเณรโตทูลว่า "ขอถวายพระพร เกิดปีวอก อัฐศก"

สมเด็จเจ้ารับสั่งอีกว่า "บ้านเกิดอยู่ที่ไหน?"

สามเณรทูลว่า "ขอถวายพระพร บ้านเดิมอยู่กำแพงเพชร แล้วย้ายมาตั้งบ้านอยู่อ่างทอง ขอถวายพระพร"

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหลวงอิสรสุนทร ตรัสถามว่า "โยมผู้ชายชื่ออะไร"

สามเณรทูลตอบว่า "ขอถวายพระพร ไม่รู้จัก"

รับสั่งถามต่อไปว่า "ทำไม โยมผู้หญิงไม่บอกตัวโยมผู้ชายให้เจ้ากูรู้จักบ้างหรือ"

สามเณรทูลว่า "โยมผู้หญิงเป็นเพียงแต่กระซิบบอกว่า เจ้าของรัดประคนนี้เป็นเจ้าคุณแม่ทัพ ขอถวายพระพร"

ครั้นได้ทรงฟัง ตระหนักพระหฤทัยแล้ว ทรงพระปราโมทย์เอ็นดูสามเณรยิ่งขึ้น จึงมีรับสั่งทึกทักว่า แน่ะ พระโหราฯ เณรองค์นี้ ฟ้าจะทึกทักเอาเป็นพระโหราฯ นำช้างเผือกเข้ามาถวาย จงเป็นเณรของเจ้าฟ้าต่อไป ฟ้าจะเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงเอง แต่พระโหราฯ ต้องเป็นผู้ช่วยเลี้ยงช่วยสอนแทนฟ้า ทั้งพระวิเชียรและเสมียนตราด้วง ช่วยฟ้าบำรุงเณร เณรก็อย่าสึกเลยไม่อนาทรอะไร ฟ้าขอบใจพระโหราฯ มากทีเดียว แต่พระโหราฯ อย่าทอดธุระทิ้งเณร ช่วยเลี้ยงช่วยสอนต่างหูต่างตาช่วยดูแลให้ดีด้วย และเห็นจะต้องย้ายเณรให้มาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราช (มี) จะได้ใกล้ ๆ กับฟ้า ให้อยู่วัดนิพพานารามจะดีกว่า (วัดนิพพานาราม คือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ในปัจจุบัน)

ครั้นมีรับสั่งแล้ว จึงทรงพระอักษรเป็นลายพระหัตถ์มอบสามเณรโตแก่สมเด็จพระสังฆราช (มี) แล้วส่งลายพระหัตถ์นั้นแก่พระโหราธิบดีให้นำไปถวาย พระโหราธิบดีน้อมเศียรคำนับ รับมาแล้วกราลถวายบังคมลา ทั้งพระวิเชียรและเสมียนตราด้วง สามเณรโตก็ถวายพระพรลา แล้ก็เสร็จขึ้น

ไปวัดนิพพาราม

ฝ่ายขุนนางทั้งสาม ก็พาสามเณรลงเรือแจวข้ามฟากมาขึ้นท่าวัดนิพพานารามตามรับสั่ง พาเณรเดินขึ้นบนตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (มี) ครั้นพบแล้วต่างถวายนมัสการ พระโหราธิบดีก็ถวายลายพระหัตถ์แด่สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชคลี่ลายพระหัตถ์ออกอ่านดู รู้ความในพระกระแสรับสั่งนั้นแล้ว จึงสั่งให้พระครูใบฎีกาไปหาตัวพระอาจารย์แก้ว วัดบางลำพูบน ซึ่งเป็นเจ้าของสามเณรเดิมนั้นขึ้นมาเฝ้า ครั้นพระอาจารย์แก้วมาถึงแล้ว จึงทรงให้อ่านลายพระหัตถ์ พระอาจารย์แก้วอ่านแล้วทราบว่า สมเด็จพระยุพราชนิยม ก็มีความชื่นชมอนุญาตถวายเณรให้เป็นเณรอยู่วัดนิพพานารามต่อไป ได้รับนิสัยแต่สมเด็จพระสังฆราชด้วย

แต่วันนั้นมา สามเณรโตก็อุตส่าห์ทำวัตรปฏิบัติแก่สมเด็จพระสังฆราช และเข้าเรียนคัมภีร์พระปริยัติธรรมจนทราบชำนิชำนาญดี และเรียนกับพระอาจารย์เสม วัดนิพพานารามอีกอาจารย์หนึ่งด้วย

รับพระราชทานเรือกัญญา

ต่อมาสามเณรโต ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ที่วัดพระแก้ว วันนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสดับฟังคำเทศนาอยู่ด้วย ทรงโปรดฝีปากการเทศน์ของสามเณรโต ประกอบกับทรงทราบจากสมเด็จพระยุพราชว่า สามเณรโตเป็นพระหลานเธอ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปีติรับสามเณรโตอุปถัมภ์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และพระราชทานเรือกราบกัญญา หลังคากระแซง ให้สามเณรโตไว้ใช้ในการบิณฑบาตไปมาในลำน้ำ

เรือกราบกัญญาลำนี้ยาวประมาณ ๕ วาเศษ พื้นทาสีน้ำเงิน ขอบเป็นลายกระหนก มีกระทงสำหรับนั่งและมีช่องสำหรับสวมเสาติดตั้งขื่อโยงสี่มุม เพื่อประกอบหลังคากระแซงตามประเพณีของราชสำนักครั้งกระนั้น จะพระราชทานแก่เจ้านายตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปเท่านั้น

หลังจากที่ได้รับเรือกราบกัญญามาสด ๆ ร้อน ๆ เศรษฐีคู่หนึ่งอยู่คลองบางกรวย จังหวัดนนทบุรี อยากได้หน้านิมนต์สามเณรโตไปเทศน์ แล้วก็เที่ยวคุยกับชาวบ้านว่า สามเณรโต เณรในหลวงจะต้องพายเรือกราบกัญญามาแน่ พอถึงวันแสดงธรรม สามเณรโตแจวเรือลำอื่นไปแต่ลำพัง เพราะลูกศิษย์สองคนของท่าน ที่พายเรือกราบกัญญานั้นชอบแย่งของที่ชาวบ้านถวาย และทะเลาะกันเกือบทุกครั้ง สามเณรโตตัดความรำคาญ มาเทศน์เพียงลำพังรูปเดียว เมื่อเจ้าภาพเห็นเรือแจวของท่านแล้วถึงกับหน้างุ้ม ไม่พอใจ ไม่สมกับศักดิ์ศรีของเศรษฐีและเณรในหลวง จึงเอาเครื่องไทยธรรมที่เตรียมจะถวายส่วนใหญ่ซุกไว้ใต้เตียง

สามเณรโตเทศน์เท่าไร เจ้าภาพก็ไม่ติดกัณฑ์เทศน์ถวาย สามเณรก็เทศน์ไปว่า "ทำบุญอยากได้หน้า มักไม่ใครได้บุญ ตั้งใจทำบุญแล้วไม่ทำ บุญก็ไม่ได้ วันนี้มาเทศน์บ้านเศรษฐี เศรษฐีได้เตรียมของถวายไว้ใต้เตียง รีบถวายซะไว ๆ จะได้บุญสมดังต

Credit: http://www.jarun.org/contact-webmaster.html
#นานาสาระ
sekimi
เจ้าของบทประพันธ์
สมาชิก VIPสมาชิก VIPสมาชิก VIP
11 ม.ค. 53 เวลา 16:24 1,661 3 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...