ตั้งตารอ! ยูโร 2012 ฉบับโปแลนด์-ยูเครน

วินาทีที่ อีเกร์ กาซียาส ชูถ้ว ยอองรี เดอ โลเนย์ กลางอากาศ ประกาศศักดาว่าสเปนได้ยุติการรอคอยแชมป์ระดับเมเจอร์ในรอบ 44 ปี ด้วยการคว้าแชมป์ยูโร 2008 ยังถูกจดจำไม่เสื่อมคลาย ผ่านไปแปบเดียว เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาจะครบ 4 ปีแล้ว และในปีนี้ ทั่วโลกก็จะได้พบกับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 อีกครั้ง

        ฟุตบอลยูโร 2012 มีชื่อเต็มในแบบภาษาไทยว่า ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 (2012 UEFA European Football Championship) จัดขึ้นที่ประเทศโปแลนด์ และยูเครน ระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน ถึง 1 กรกฎาคม 2012 โดยมี 16 ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

         กลุ่มเอ - โปแลนด์ (เจ้าภาพร่วม), กรีซ, รัสเซีย, เช็ก

         กลุ่มบี - เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก, เยอรมัน, โปรตุเกส

         กลุ่มซี - สเปน (แชมป์เก่า), อิตาลี, ไอร์แลนด์, โครเอเชีย

         กลุ่มดี - ยูเครน (เจ้าภาพร่วม), สวีเดน, ฝรั่งเศส, อังกฤษ

 



 


รูปแบบการแข่งขัน

         ในรอบแบ่งกลุ่มจะแข่งแบบเก็บคะแนนและพบกันหมด โดยจะนำอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่มผ่านเข้ารอบ 8 ทีม แล้วก็จะเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบแพ้คัดออก จนถึงนัดชิงชนะเลิศ

การคัดเลือกเจ้าภาพ

         โปแลนด์ และยูเครน สามารถเอาชนะอิตาลี และโครเอเชีย-ฮังการีได้จากคะแนนโหวตของคณะกรรมการยูฟ่า

สนามที่ใช้ในการแข่งขัน

         โปแลนด์และยูเครน ได้เสนอสนามที่ใช้ในการแข่งขัน ชาติละ 4 เมือง ได้แก่..

         โปแลนด์ - Warsaw, Gdańsk, Wrocław, Poznań

         ยูเครน - Kiev, Donetsk, Kharkiv, Lviv

         โดยนัดเปิดสนามจะเล่นที่โปแลนด์ เมือง Warsaw เป็นการพบกันระหว่าง เจ้าภาพโปแลนด์ พบ กรีซ แชมป์ยูโร 2004 ส่วนนัดปิดสนาม หรือนัดชิงชนะเลิศ จะเล่นที่ ยูเครน เมือง Kiev


ข้อมูลเบ็ดเตล็ด

         โลโก้การแข่งขันในครั้งนี้ เป็นการนำประเพณีการตัดกระดาษของชาวโปแลนด์และยูเครน เป็นรูปดอกไม้ มาใช้ จำนวน 2 ดอกด้วยกัน โดยแต่ละดอกจะใช้สีของทั้งสองประเทศ คือ สีแดง-ขาว (โปแลนด์) และ ฟ้า-เหลือง (ยูเครน) ตั้งกันคนละฝั่ง และมีลูกฟุตบอลตั้งอยู่ตรงกลาง

         ส่วนสโลแกนประจำการแข่งขันครั้งนี้คือ "Creating History Together" แปลเป็นไทยก็คือ "ร่วมเขียนประวัติศาสตร์ไปด้วยกัน"

         มาสคอต ยูโร 2012 คือตัวการ์ตูนที่มีผมตั้ง ๆ 2 ตัว ใส่เสื้อแข่งของชาติเจ้าภาพทั้งสอง ด้วยสีของชาติเจ้าภาพ เฉกเช่นโลโก้การแข่งขัน และที่หน้าอกจะมีหมายเลข 20 และ 12 ยืนข้างกัน ระบุถึงปีที่ทำการแข่งขัน โดยมาสคอตทั้ง 2 ตัวนี้มีชื่อว่า สลาเว็ก กับ สลาฟโก้

         ลูกฟุตบอลที่ใช้ เป็นการนำลายแทงโก้ ลายฟุตบอลที่เป็นที่นิยมในการแข่งขันฟุตบอลสมัยก่อน กล่าวคือ เป็นหลายสามเหลี่ยม ต่อกันจนทั่วลูกฟุตบอล กลับมาใช้อีกครั้ง เรียกลูกฟุตบอลลูกนี้ว่า "แทงโก้ 12"

เกร็ดที่ควรรู้

         การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 จะเป็นครั้งสุดท้ายที่มี 16 ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน เพราะในยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ทางยูฟ่าจะขยายการแข่งขันออกเป็น 24 ทีม

         แชมป์ยูโร 2012 จะได้รับสิทธิ์ร่วมเล่นฟุตบอล คอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 2013 ที่บราซิล ซึ่งเป็นการแข่งขันที่นำแชมป์ฟุตบอลโลก แชมป์ระดับทวีปทั่วโลก และเจ้าภาพฟุตบอลโลกมาแข่งขันกัน อย่างไรก็ตาม หากสเปนสามารถคว้าแชมป์ยูโร 2012 รองแชมป์จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมเล่นแทน เพราะสเปนจะเข้าร่วมคอนเฟดเดอเรชั่น คัพ ในฐานะ แชมป์ฟุตบอลโลก

         เยอรมัน เป็นทีมที่คว้าแชมป์ยูโรมากที่สุด 3 สมัย ในปี 1972, 1980 และ 1996 นอกจาก นี้ยังเป็นรองแชมป์ยูโรมากที่สุด 3 สมัย ร่วมกับสหภาพโซเวียต เช่นกัน ในปี 1976, 1992 และ 2008 ส่วนสหภาพโซเวียต เป็นรองแชมป์ในปี 1964, 1972 และ 1988 (หมายเหตุ เยอรมัน รวมในสถานะของเยอรมันตะวันตกด้วย)

         นักเตะที่ยิงประตูสูงสุดในฟุตบอลยูโรคือ มิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่าคนปัจจุบัน และเป็นอดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศส จำนวน 9 ประตู ซึ่งประตูที่พลาตินี่ยิงได้ทั้งหมด เกิดขึ้นในยูโร 1984

         นักฟุตบอลที่ลงเล่นในฟุตบอลยูโรมากครั้งที่สุด จำนวน 4 สมัย ได้แก่ โลธ่าร์ มัทเธอุส จากเยอรมัน, ปีเตอร์ ชไมเคิล จากเดนมาร์ก, อารอน วินเตอร์ และ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จากฮอลแลนด์, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ จากอิตาลี และ ลิลิยง ตูราม จากฝรั่งเศส

         นักฟุตบอลที่เล่นในฟุตบอลยูโร จำนวนแมตช์มากที่สุด 16 แมตช์ ได้แก่ ลิลิยง ตูรามจากฝรั่งเศส และเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จากฮอลแลนด์

         อ็อตโต้ เรฮาเกลห์ ชาวเยอรมัน เป็นผู้จัดการทีมเพียงคนเดียว ที่พาทีมคว้าแชมป์ยูโรได้ โดยที่ตัวเองไม่ได้มีเชื้อสายของชาตินั้น ซึ่งเรฮาเกลห์ พากรีซ คว้าแชมป์ในปี 2004

         เยอรมัน เป็นชาติที่เล่นในฟุตบอลยูโรติดต่อกันมากที่สุด จำนวน 11 สมัย ตั้งแต่ปี 1972-ปัจจุบัน (รวมในสถานะของประเทศเยอรมันตะวันตกด้วย)
 


ทีมที่น่าจับตามอง

เนเธอร์แลนด์

         ว่ากันว่า "อัศวินสีส้ม" เป็นทีมที่โชคร้ายที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลยูโรมากที่สุดก็ว่าได้ โดยเฉพาะช่วง 10 ปีหลัง ที่จับสลากในรอบแบ่งกลุ่ม แล้วอยู่ในกลุ่มแห่งความตายตลอด ตั้งแต่ยูโร 2000 2004 และ 2008 รวมถึงครั้งนี้ด้วย แต่ก็สามารถเอาตัวรอด ผ่านเข้ารอบไปได้ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ฮอลแลนด์ ก็มักตกม้าตายในรอบน็อกเอาท์ตลอด ถ้าไม่แพ้ช่วงดวลจุดโทษ ก็โดนทีเด็ดช่วงต่อเวลาเสมอ

         ฮอลแลนด์ ชุดนี้ มีดีกรีเป็นถึงรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 แม้จะเล่นไม่สวยงามเหมือนยุคก่อน แต่ยุคนี้ก็ได้ความดุดันและเน้นแท็คติกมากขึ้น และเป็นทีมเต็งที่มีโอกาสคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรครั้งนี้เช่นกัน ทว่า จะสานฝันยุติการรอคอยแชมป์แรกในรอบ 24 ปี ได้หรือไม่ ก็ต้องถามเยอรมัน กับโปรตุเกส สองทีมคู่อริที่อยู่กลุ่มเดียวกันก่อนนะจ๊ะ

  เยอรมัน

         "อินทรีเหล็ก" เยอรมัน ยุคนี้ ถือเป็นยุคอินทรีพลังหนุ่มของแท้ แม้ว่าผลงานใน 3 ทัวร์นาเมนต์หลักหลังสุด จะอกหักแพ้รอบรองหรือไม่ก็รอบชิงอยู่ก็ตาม ถึงยุคนี้จะเป็นทีมพลังหนุ่ม แต่ก็ยังมีนักเตะดังรุ่นเก๋าคอยประคองทีมอยู่ ทั้งฟิลลิป ลาห์ม กัปตันทีม, มิโรสลาฟ โคลเซ่, ลูคัส โพดอลสกี้, เมซุต โอซิล

         การแข่งขันยูโรครั้งนี้ เยอรมันน่าจะเป็นทีมที่แข็งแกร่งกว่าเดิมจากเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพราะนักเตะต่างเก๋าขึ้น รวมถึงเรียนรู้จากความผิดหวังจากยูโร 2008 และฟุตบอลโลก 2010 ได้ ซึ่งจะสามารถคว้าแชมป์ยูโรครั้งนี้ได้หรือไม่ โยอัคคิม เลิฟ ผู้จัดการทีม ก็ต้องผ่านรอบแรกที่มีแต่ของแข็งไปให้ได้ก่อน

  โปรตุเกส

         ไม่ว่าโปรตุเกสเข้ารอบทัวร์นาเมนท์ใหญ่กี่ครั้งในช่วงหลัง ก็มักถูกยกให้เป็นทีมเต็งอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยถึงฝั่งฝันเสียที ใกล้เคียงที่สุดก็คือ รองแชมป์ยูโร 2004 ที่จัดขึ้นในบ้านตัวเอง โปรตุเกสชุดนี้ มีนักเตะชื่อดังอยู่คนเดียว คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์จากเรอัล มาดริด อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่โปรตุเกสที่มักไม่ค่อยถึงฝั่งฝันได้ เป็นเพราะทีมที่ไม่มีความสมดุล กล่าวคือ โปรตุเกสไม่เคยขาดกองกลางชั้นยอด กองหลังแข็งแกร่ง ผู้รักษาประตูมือดี ขาดอย่างเดียวคือ กองหน้าจบสกอร์

         ยูโรครั้งนี้ กว่าโปรตุเกสจะผ่านเข้ามาเล่นได้ ก็ต้องลุ้นถึงรอบเพลย์ออฟ เชื่อว่า ครั้งนี้อาจจะไม่ถึงฝั่งฝันตามเคย แต่ก็อาจจะเป็นทีมที่เป็นตัวแปรในการคว้าแชมป์ของทีมอื่นได้ ขอแค่อย่าประมาทเป็นพอ

  สเปน

         เป็นเต็ง 1 ของรายการอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับ "กระทิงดุ" สเปน ที่พ่วงดีกรี แชมป์โลกและแชมป์ยุโรปติดตัวมา แถมสถิติในรอบคัดเลือกก็สวยหรูชนะ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม สเปน ยุคปัจจุบันนี้ แข็งแกร่งทั้งชุดใหญ่ ชุดเล็ก ตัวนักเตะน่าจะแทนกันได้ อีกทั้งตัวนักเตะเกือบทั้งทีมมาจากสโมสรบาร์เซโลน่า และเรอัล มาดริด ยอดทีมแห่งยุค การันตีคุณภาพ แต่อุปสรรคของสเปน อาจจะอยู่ที่เรื่องแรงกระหายในชัยชนะ เพราะนักเตะส่วนใหญ่ได้ทั้งแชมป์โลกและแชมป์ยุโรป ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในชีวิตนักฟุตบอลแล้ว รวมถึงคู่แข่งขันที่จะมีแรงกระตุ้นมากขึ้น ต้องการล้มแชมป์โลกและแชมป์ยุโรปทีมนี้ให้ได้

  อิตาลี

         นับได้ว่า ยูโร 2012 เป็นทัวร์นาเมนท์ที่หลายทีมถ่ายเลือดใหม่โดยแท้ ไม่เว้นแม้แต่ แชมป์โลกปี 2006 อย่างอิตาลี หลังจากได้แชมป์ฟุตบอลโลก ในทัวร์นาเมนท์ยูโร 2008, คอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 2009 และฟุตบอลโลก 2010 ก็ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

         อิตาลีชุดนี้ มีเพียงแค่จานลุยจิ บุฟฟ่อน กัปตันทีม อันเดรีย ปีร์โล่ ที่เป็นแกนหลักจากชุดรุ่งเรือง ขณะที่ ฟาบิโอ คันนาวาโร่, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ต่างแขวนสตั๊ดจากทีมชาติไปแล้ว ซึ่งถ้าวิจารณ์ตามศักยภาพ อิตาลีอาจจะยังเป็นรอง แต่อิตาลี สายเลือดใหม่ ภายใต้การนำของ อิล ชี.ที เซซาเร่ ปรันเดลลี่ ก็ไม่สามารถประมาทได้เช่นกัน

  ฝรั่งเศส

         ยูโร 2012 เป็นทัวร์นาเมนท์แรกที่ไม่ใช่ยุคการคุมทีมของ เรย์มง โดเมอเน็ค กุนซือมาดนักการ ตั้งแต่ปี 2006 แต่เป็นยุคของโลร็องต์ บล็องก์ หนึ่งในขุนพลชุดแชมป์โลก 1998 เป็นกุนซือ พร้อมนักเตะสายเลือดใหม่ นำโดย อูโก้ ยอริส กัปตันทีม คาริม เบนเซม่า, ซามีร์ นาสรี่ และ ฟรองก์ ริเบรี่

         ฝรั่งเศสกับอิตาลี ยุคใหม่มีส่วนคล้ายกันอยู่ตรงที่ นักเตะสายเลือดใหม่ ชื่อชั้น ฝีเท้า อาจจะสู้ทีมอื่นที่เป็นทีมที่น่าจับตาไม่ได้ แต่ด้วยกึ๋นของบล็องก์ ก็น่าจะทำให้ฝรั่งเศส เป็นอีก 1 ทีมที่ไม่สามารถประมาทได้

  อังกฤษ

         บรรดานักวิเคราะห์เกมต่างมองว่า "สิงโตคำราม" อังกฤษ นับว่าเป็นทีมที่อ่อนสุดในบรรดาทีมที่น่าจับตาแล้ว แม้ว่าจะเป็นทีมที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี จากการรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็ตาม เนื่องจากอังกฤษพบปัญหาขาดหัวเรือใหญ่ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทัวร์นาเมนท์ หลังจากที่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ประกาศลาออกจากผู้จัดการทีม เพราะมีความขัดแย้งกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และตอนนี้ตั้ง สจวร์ต เพียร์ซ รักษาการผู้จัดการทีมไปก่อน นอกจากนี้ 2 เกมแรกที่จะลงแข่งในยูโร 2012 จะไร้เงา เวยน์ รูนี่ย์ กองหน้าตัวเก่งที่ติดโทษแบน พอเหลือบไปมองซุ้มม้านั่งสำรอง กองหน้าแต่ละคนก็ไม่สามารถฝากผีฝากไข้ได้เลย

         นอกจากนี้ ตำแหน่งอื่น ๆ ดาวรุ่งยุคใหม่ก็ยังไม่สามารถทดแทนนักเตะรุ่นเก่าได้ จึงต้องใช้สายเลือดเก่าไปก่อน ด้วยเหตุนี้เอง โอกาสที่อังกฤษ จะเป็นแชมป์ยูโร มีน้อยมาก ขอแค่ผ่านรอบแรก ที่มีของแข็งอย่างฝรั่งเศส และของสแลงอย่างสวีเดน ให้ได้ใน 2 เกมแรก อย่างอื่นค่อยว่ากัน

         แต่อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลลูกกลม ๆ ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้แน่นอนนัก ไม่แน่ว่า ทีมนอกกระแสอาจมาวิน ทีมใหญ่ทีมเต็งอาจร่วงก็เป็นได้... ว่าแต่เพื่อน ๆ เชียร์ทีมไหนในศึกยูโร 2012 กันเอ่ย






 

 
12 เม.ย. 55 เวลา 09:56 1,070 1 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...