สมมติฐานเกี่ยวกับผี
ในขั้นแรกเราจะตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับผีไว้ดังนี้นะครับ
1. กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ต้องสามารถใช้ได้กับภูติผีปีศาจ นั่นหมายถึง ผีก็อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของฟิสิกส์ซึ่งเราถือว่าเป็นกฏสากลของธรรมชาติ
2. ภูติผีปีศาจไม่ใช่เรื่องมายากล อิทธิปาฏิหารย์ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติใดๆทั้งสิ้น
3. เรื่องภูติผีปีศาจ(Ghost), การหลอกหลอน(Poltergeist), เรื่องวิญญาฯคนตาย (Spirit&Soul) เป็นสิ่งที่มีสาเหตุมาจากต้นตอเดียวกัน แต่เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างกัน
4. ผีปีศาจจัดเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง หรือ Entity ดังนั้น Entity ใดๆควรจะมีลักษณะร่วมที่เหมือนกัน ผีก็เช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นผีไทย ผีฝรั่ง ผีกระเหรี่ยง ควรจะอยู่ในกฏนี้คือมีลักษณะร่วมที่ไม่แตกต่างกันด้วย
5. ในการปรากฏกายของผีแต่ละครั้ง ร่างของผีจะปรากฏตัวขึ้นโดยคิดเป็นปริมาตร 0.07 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นรูปร่างเฉลี่ยของคนที่มีน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม (อันนี้เป็นข้อมูลสถิติที่เค้าวิเคราะห์กันมาน่ะนะครับ)
จากสมมติฐานเราก็จะมาหามาตรฐานของผีกัน
Entity ที่เรียกว่าผีมีอยู่หลายชนิดและมักจะพบกันในเวลาค่ำคืนหรือไม่ก็ในที่มืดเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราน่าจะจัดให้มันเป็น "สิ่งที่มีธรรมชาติชอบอาศัยอยู่ในความมืด" เราไม่สามารถบอกได้ครับว่าผีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต(แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า) ไม่สามารถบอกได้ว่าผีนั้นเป็นคน เป็นพืช หรือว่าเป็นสัตว์ ดังนั้นผมจึงขอเรียกมันว่า "สิ่งที่มีอยู่อย่างหนึ่ง" หรือ "ตัวตน" ไปพลางๆก่อน สิ่งแรกที่เราควรมาพิจารณากันคือ ISO เอ๊ย... ลักษณะมาตรฐานที่คล้ายคลึงกันของผีทั่วโลก ซึ่งจากบทความของท่านด็อกเตอร์ เราพบลักษณะร่วมของผีดังนี้ครับ
1. ผีจะชอบปรากฏตัวในเวลากลางคืน (พระอาทิตย์ตกดินเป็นได้การละ) การปรากฏตัวแต่ละครั้งกินช่วงเวลาประมาณ 2-10วินาทีโดยอาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อผีปรากฏตัวแล้วมันจะหายไปชั่วครู่ จึงจะสามารถปรากฏตัวใหม่ได้อีก
2. ถ้าผีปรากฏตัวในที่มืดแล้วสายตาของเราสามารถมองเห็นมันได้ แสดงว่าผีต้องมีแสงสว่างในตัวเอง จากข้อมูลเรื่องผีทั่วโลกเราพบว่า ผีเปล่งแสงสว่างเรืองๆได้ โดยมีกำลังส่องสว่างอยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน
3. การปรากฏตัวของผีพบว่ามีลักษณะรูปร่างคล้ายคน แต่ไม่เคยปรากฏตัวในลักษณะเปลือยร่างล่อนจ้อน(ส่วนผีนางแบบนู้ดนี่ไม่ยังไม่เคยมีเคสครับ) ผีจะมีเครื่องนุ่งห่มติดตัวมาด้วยเสมอ ส่วนมากจะเป็นลักษณะของผ้าห่อศพ ผ้าตราสัง บางครั้งก็สวมชุดเสื้อผ้าคล้ายคนธรรมดา แต่มีจุดที่แตกต่างออกไปก็คือ ทั้งผิวกายและใบหน้าของผีมักปรากฏในรูปลักษณะสีขาวคล้ายหมอกควัน (บางครั้งก็มีสีต่างๆเช่น น้ำเงิน เหลืองอมแดง หรือสีเขียวเรืองๆปนอยู่ในสีขาวนั้นด้วย) ภาพ"ร่างกาย"ของผีที่มองเห็นมักมีลักษณะเป็นรางๆ โปร่งแสงมองทะลุไปได้ มีขนาดเล็กกว่าตัวคนธรรมดาทั่วไปครับ
4. ส่วนใหญ่แล้ว 99% ผีมักจะหันหน้าเข้าหาผู้ประสบเหตุเสมอ มีส่วนน้อยมากที่ผีจะหันด้านข้างหรือด้านหลังให้ โดยเฉพาะผีของไทยนี่ไม่ธรรมดาครับ เนื่องจากมักจะห้อยหัวลงมาหาผู้ประสบเหตุอยู่เสมอๆ
5. รายงานเรื่องผี 90% พบว่าผีมีร่างเป็นมนุษย์ มีรายงานไม่มากนักที่ปรากฏว่าเป็นผีสัตว์ เช่น ผีสุนัข ผีแมว ผีวัว หรือผีพะยูน เป็นต้น
6. ผู้ที่เคยเจอผีในระยะกระชั้นชิดทุกคน ต่างรายงานสภาพการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบตัวขณะผีปรากฏกายว่า อากาศมักเย็นวูบลงอย่างฉับพลันก่อนหน้าหรือขณะเวลาเดียวกันกับการปรากฏตัวของผี ณ จุดนั้น
7. ถ้ามีเสียงหรือกลิ่นมาพร้อมการปรากฏตัวของผีล่ะก็ พยานจะรับรู้ได้เพียงเล้กน้อยเท่านั้นเรียกได้ว่าเป็นเสียงหรือกลิ่นที่เบาบางมากว่างั้นเถอะครับ เสียงที่เกิดมักเป็นเสียงธรรมชาติทั่วไป เช่น เสียงหอบหายใจหนักๆ เสียงคนฮัมเพลง เสียงร้องไห้ เสียงกระซิบ เสียงหัวเราะแผ่วๆ เสียงเดินลากเท้า เสียงกระดิ่งหรือระฆังที่เรามักได้ยินตามโบสถ์เป็นต้น กลิ่นที่ปรากฏบางครั้งหอมเอียนเหมือนกลิ่นดอกไม้ป่า กลิ่นธูป กลิ่นสาบสาง กลิ่นอับชื้นเหมือนดินโคลน ที่หนักหน่อยก็เป็นกลิ่นคาวเลือดไปเลยครับ
ลักษณะการปรากฏตัวของผีทั้ง 7 ข้อนี้ ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานการปรากฏตัวของผีกลางคืนทั่วโลก ฝรั่งเค้าเรียกว่ามาตรฐานSNG ครับ มาจากคำเต็มว่า Standard Night time Ghost สิ่งเหล่านี้เมื่อปรากฏขึ้นจะทำให้ผู้ประสบเหตุรู้สึกเช่นเดียวกับเวลาเผชิญหน้ากับอัดกุ้ง(ณ All-Final) นั่นคือหวาดกลัว ผวา จึงเรียกปรากฏการนี้ว่าผีหรือการหลอกหลอน(Haunting) เมื่อวิเคราะห์กันให้ดีแล้วจะพบว่าการปรากฏตัวของผีตามมาตรฐาน SNG สามารถนำมาสร้างเป็นสมมติฐาน 2 ประการได้ กล่าวคือ
ประการที่หนึ่ง ปรากฏการณ์ SNG เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการรบกวนของกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง อนุมานได้ว่า เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการกระตุ้นโดยกระบวนการป้อนกลับข้อมูลของระบบประสาทใต้สำนึกและของสมองเอง กรณีเช่นนี้ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "เกิดอาการประสาทหลอน" (Hallucination) ซึ่งถือได้ว่าในขณะนั้นผู้ประสบเหตุกำลังเจ็บไข้ได้ป่วยทางความนึกคิด
อีกกรณีหนึ่งก็คือ การกระตุ้นให้สมองเกิดอาการภาพหลอนขึ้นเอง อาจกระทำได้จากสิ่งเร้าภายนอก โดยใช้คลื่นอิเล็คโตรแม็กเนติกที่มีขนาดคลื่นพอเหมาะยิงคลื่นนั้นตรงไปยังสมองก็เป็นได้ การควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่างซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้สมองของเราเกิดภาพหลอนขึ้นได้เหมือนกัน ทั้งนี้เคส่วนใหญ่ที่ทดลองมาต้องเกิดจากการกระทำของผู้เชี่ยวชาญและโดยเทคนิคชั้นสูงเท่านั้น ในกรณีหลังเราถือว่าผู้ประสบเหตุถูกสิ่งเร้าควบคุมจากภายนอก เรียกว่า"ถูกควบคุมให้เกิดประสาทหลอน" โดยภาพหลอนที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นภาพหลอนที่ถูกควบคุม(Illusion)
โดยสรุปแล้วสมมติฐานประการที่หนึ่งถือว่าผีไม่มีอยู่ในโลก แต่ปรากฏการณ์ผีมีอยู่จริง คำว่า"จริง"ในที่นี้คือความจริงที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง
ประการที่สอง ปรากฏการณ์ผีตามมาตรฐาน SNG เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนหรือการควบคุมให้ประสาทหลอน ถ้าสมมติฐานที่สองถูกต้องสมมติฐานที่หนึ่งก็ผิด ถ้าผีปรากฏตัวให้เราเห็นได้จริงๆก็แสดงว่าผีต้องสามารถสร้าง"ร่าง"หรือเปล่งแสงสว่าง (Photons)ออกมาได้ จึงทำให้เราสามารถมองเห็นในเวลากลางคืนหรือที่มืดๆ
ถ้าผีเป็นภาพหลอนแล้ว ทำไมจากข้อมูลเรื่องผีถึงมีเคสที่ผีปรากฏตัวต่อหน้าคนหมู่มากซึ่งอยู่ในมุมมองที่แตกต่างกัน จากตำแหน่งของแต่ละคนทุกคนสามารถมองเห็นผีตนนั้นได้จากมุมมองของตัวเอง ข้อมูลนี้สนับสนุนสมมติฐานหลังและแสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่งโฟตอนออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น
ฟิสิกส์กับการปรากฏตัวของผี
เอาเป็นว่าเราจะยึดแนววิเคราะห์ตามสมมติฐานข้อที่สองกัน โดยยืนพื้นอยู่บนข้อสังเกตที่ว่า "ผีต้องสร้างโฟตอนเพื่อเปล่งรัศมีออกมา ทำให้ผู้ประสบเหตุสามารถมองเห็นมัน)ได้ในที่สุด" ...จากรายงานเกือบทั้งหมดของผู้ประสบเหตุพบว่าผีสามารถลอยตัวในอากาศได้ มีอาการเคลื่อนที่อย่างน้อยๆก็เหมือนคนเดินเท้าไม่ติดดิน ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้ไหมครับว่าผีต้องมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าอากาศ เพราะถ้ามันน้ำหนักมากกว่าแล้วล่ะก็มันจะแสดงพฤติกรรมแบบนั้นไม่ได้แน่ ถึงยังงั้นผีก็ควรจะเบากว่าอากาศไม่มากนัก เนื่องจากถ้าเบามากผีก็จะลอยไปตามลมเหมือนลูกโป่งสวรรค์ หากจะอยู่กับที่จำเป็นต้องหาอะไรมายึดเกาะเอาไว้ ซึ่งก็ไม่มีผู้ประสบเหตุรายไหนพบว่าผีผูกขาตัวเองไว้กับโต๊ะ ขอบหน้าต่าง รากไม้ หรือว่าหิ้วสมอลอยไปลอยมาแต่ประใด ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า ผีมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าอากาศอยู่นิดหน่อยครับ
เอาล่ะครับทีนี้เราลองมาดูโจทย์แรกที่ต้องขบให้แตกกัน นั่นคือผีสร้างโฟตอนขึ้นมาได้อย่างไร? จากข้อมูลของ SNG พบว่าผีส่วนมากปรากฏตัวให้เห็นเป็นภาพสามมิติเรือนลางกลางอากาศ นั่นหมายความว่าผีทำให้อากาศรอบตัวมันนั่นเองเปล่งแสงขึ้นมา ตัวผีจริงๆไม่มีแสงสว่าง ไม่สะท้อนหรือดูดกลืนคลื่นแสง อากาศต่างหากที่เป็นตัวเปล่งแสง(โฟตอน)ออกมา อะตอมของอากาศจะต้องถูกรบกวนจนกระทั่งอิเล็กตรอนเปลี่ยนตำแหน่งวงโคจรของมัน จนกระทั่งในที่สุดก็เปล่งแสงออกมา
ในทางฟิสิกส์เราทราบกันว่าโฟตอนสีม่วงเป็นคลื่นอิเล็คโตรแม็กเนติกที่มีความถี่ 3,950 A° และโฟตอนสีน้ำเงินมีความถี่4,400 A° เมื่อได-อะตอม (di-atom) ของไนโตรเจนอิออนถูกรบกวนในช่วงเวลาทุกๆ 0.01 วินาที แต่สำหรับธาตุออกวิเจนมันจะเปล่งโฟตอนสีแดงความถี่ 7,500 A° ออกมาให้ในทุกช่วงเวลา 0.7 วินาทีโดยประมาณ แต่จากข้อมูลเรื่องผีเราสรุปได้ว่าผีเปล่งโฟตอนสีขาวน้ำเงินซึ่งเป็นแสงสว่างจางๆที่มีความเข้มของแสงต่ำเอามากๆ ประเมินค่าความเข้มแสงได้ประมาณ 1-20 วัตต์ ต่อปริมาตร 0.07ลูกบาศก์เมตร และตาของคนเราจะสามารถมองเห็นความเข้มของแสงสว่างได้ในที่มืด โดยใช้ระบบประสาทที่เรียกว่า Rods Cellเท่านั้น เซลล์ชนิดนี้มีอยู่ในดวงตาของทุกคน มันสามารถรับภาพได้ว่องไวเฉพาะแสงสว่างขาวดำเท่านั้น (เรียกว่ามองไม่เห็นสีของแสงว่างั้นเหอะ) ดังนั้นไม่ว่าผีจะเปล่งแสงสีแดง สีม่วง สีคราม หรือสีรุ้งออกมา ดวงตาของคนก็ไม่สามารถมองเห็นได้(ในกรณีที่ความเข้มของแสงต่ำมาก) คนเราจะมองเห็นเป็นสีขาวคือเฉพาะความสว่างสลัวๆเท่านั้น แต่ถ้าความเข้มของแสงสว่างมีมากขึ้นตาคนเราจะมองเห็นเป็นสีน้ำเงินก่อน และนี่ก็เป็นเหตุผลอันหนึ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมผู้ประสบเหตุถึง 99% จึงมองเห็นผีในลักษณะของภาพขาวดำหรือสีขาวน้ำเงินเท่านั้น
สรุปได้ว่า ผีจะสร้างแสงสว่างขึ้นเมื่อต้องการแสดงตัว โดยการกระตุ้นโฟตอนจากบรรยากาศ แสงสว่างที่ออกมามีความเข้มต่ำมากความสว่างไม่เพียงพอที่จะไปกระตุ้น Cones Cell ซึ่งทำหน้าที่รับรู้สีของแสงให้ทำงานได้ คนเราจึงสามารถมองเห็นผีได้ในลักษณะขาวดำเรือนลางเท่านั้น
โจทย์ต่อไปที่เราต้องพิจารณาก็คือ... ผีใช้พลังอะไรมากระตุ้นอิเล็กตรอนของบรรยากาศทำให้เกิดการคายโฟตอนออกมา? ผีมีพลังงานในตัวเองกระนั้นรึ? หรือว่าผีมีวิธีนำพลังงานจากแหล่งอื่นมาใช้?
ในการตีความโจทย์ข้อนี้เราไม่ควรลืมข้อสังเกตจากปรากฏการณ์ SNG ข้อหนึ่งที่ว่า ก่อนและหลังการปรากฏตัวของผี อากาศ ณ จุดนั้นจะเย็นวูบลงอย่างทันทีทันใด ข้อมูลนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของผ ีมากระตุ้นให้เกิดการสร้างโฟตอนของอะตอมในบรรยากาศ ผีคงไม่มีพลังงานในตัวเองหรอกครับ แต่คงใช้พลังงานความร้อน(Thermal energy) จากบรรยากาศมาเป็นพลังงานกระตุ้นอะตอมของธาตุให้เกิดการตื่นตัว (excited) โดยใช้หลักการเดียวกับหลักการทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า Maxwell-Bolzmann ผีคงจะต้องดึงพลังงานความร้อนในบรรยากาศมาเปลี่ยนให้เป็นโฟตอน ซึ่งมีผลทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศลดลงในทันที โดยการคำนวณอย่างหยาบๆพบว่า ถ้าผีสร้างโฟตอนความเข้ม 20 วัตต์ โดยดึงเอาพลังงานความร้อนจากบรรยากาศปกติที่ความดันระดับน้ำทะเล จะทำให้อุณหภูมิของบรรยากาศเย็นลงได้ประมาณ 14.5 C° ต่อนาที อุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆตราบเท่าที่ผียังสามารถเปลี่ยนความร้อนให้เป็นโฟตอนอยู่ได้ จนกระทั่งถึงความเย็นจุดหนึ่งจะทำให้ไอน้ำในบรรยากาศกลั่นตัวควบแน่นกลายเป็นหมอก (เรียกว่า dew pointนั่นเองครับ) ตอนนี้ก็จะเกิดกลุ่มหมอกควันหนาทึบปกคลุมตัวของผี ดังนั้นจึงมีข้อสรุปที่ค่อนข้างแน่ชัดออกมาว่า ผีที่อยู่ในที่ๆมีอากาศแห้ง(ไอน้ำในบรรยากาศน้อย) จะปรากฏตัวให้เห็นได้เรือนลางกว่าผีที่มีสำมะโนครัวในแถบอากาศชื้น
ครับ เราก็เลยได้ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งตามมาหากสมมติฐานนี้ถูกต้อง นั่นคือถ้าผีสามารถดึงเอาพลังงานความร้อนในบรรยากาศมาใช้ได้ ก็หมายความว่าตัวของผีเองนั้นต้องประกอบด้วยพลังงานล้วนๆ(หรืออย่างน้อยต้องประกอบด้วยพลังงานมากกว่าสสาร) และข้อมูลหลักฐานเรื่องผีจากทั่วโลกก็สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวนี้เสียด้วยสิครับ ไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่ชี้ให้เห็นชัดว่าตัวของผีประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาอย่างคนเรา ...ดังนั้นเป็นไปได้ไหมหากเราจะสรุปว่า ผีมีตัวตนที่ประกอบด้วยพลังงาน ไม่ใช่สสารเหมือนร่างกายมนุษย์ แต่อาศัยหลักเกณฑ์ทางฟิสิกส์ของไอน์สไตน์ข้อที่เรียกว่า "กฏความสัมพัทธภาของความสมดุลย์แห่งมวลสาร" (Einstein Relativistic Law of Mass-equivalence) พลังงานที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของผีก็สามารถวัดหาค่ามวลสารได้ โดยอาศัยวิธีการวัดที่เรียกว่า "การวัดด้วยคลื่นความโน้มถ่วง" (Gravitational methods) ครับ
แล้วผีหลอก(Poltergeist)ล่ะ?
ผีหลอกวิญญาณหลอนคือปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นการกระทำของภูติผีปีศาจ หรือวิญญาณผู้ประสงค์ร้ายที่แสดงออก(โดยพยายาม)ไม่ปรากฏตัวให้เห็น ว่าตนสิงสู่อยู่ ณ บริเวณนั้น หรือเป็นการแสดงออกเพื่อให้ผู้บุกรุกหรือแปลกถิ่นที่ล่วงล้ำเข้ามาให้รู้ตัวว่า นี่เป็นการเตือนนะว๊อย ตูข้าไม่ต้อนรับ(พวก)เอ็ง บางกรณีเป็นการขับไล่ แต่บางครั้งก็แค่หยอกเย้ากระเซ้าเล่นเฉยๆ ซึ่งแน่นอนล่ะว่าผู้ถูกกระเซ้าคงไม่แฮปปี้ด้วยเท่าไหร่นัก
ความพยายามแสดงออกของผีหลอกวิญญาณหลอนมักเป็นไปในรูปการณ์แปลกๆ ส่วนมากแฝงไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย เช่น ทำเสียงดังปึงปังโครมคราม ทำให้วัตถุบางอย่างล้ม ตกลงมาจากที่สูง หรือเกิดการเคลื่อนย้ายตำแหน่งให้เห็นกันอย่างจะจะ ทำการปิดประตูหน้าต่างอย่างผิดกาลเทศะ(ฝนไม่ตกมันก็ปิด) ตลอดไปจนทำเสียงหลอกหลอนประหลาดๆ เป็นต้น
จากรายงานเรื่องผีหลอกวิญญาณหลอนประเภทมองไม่เห็นตัวพวกนี้พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ประสบเหตุจะเป็นเพศหญิงวัยรุ่นถึงวัยกลางคน มีรายงานส่วนน้อยที่พบว่าผู้ประสบเหตุจะเป็นเพศชายในวัยเดียวกัน และก็มีบ้างที่เกิดกับชายหญิงสูงอายุครับ
วิธีที่ผีจะนำพลังงานมาสร้างปรากฏการณ์ผีหลอกวิญญาณหลอน (Poltergeist) นั้นจะต้องผิดแปลกแตกต่างไปจากการปรากฏกายของผีทั่วไป ซึ่งถ้าเรามองกันในแง่ของฟิสิกส์แล้วเราจะพบว่า
1. พลังงานที่ใช้จะต้องเป็นพลังงานที่เปลี่ยนไปในรูปของ"แรงกระตุ้น" ซึ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนและเป็นจังหวะอย่างที่เราเรียกกันว่า Impulse จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าอิมพัลซ์หนึ่งมีจังหวะช่วงความถี่ 1 วินาทีต่อครั้ง เช่น เสียงเคาะกระจก เสียงเดินกุกกัก ที่ครั้งหนึ่งจะเว้นช่วงระยะเวลาประมาณ 1 วินาทีเสมอ
2. จำนวนพลังงานที่จะต้องใช้ในแต่ละอิมพัลซ์ คำนวณออกมาได้ค่าประมาณ 60 จูลส์ (คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 50 ก.ก. ครับ)
3. ความสำคัญอยู่ที่ยอดสุดของกำลังงานครับ (peak power output) ซึ่งให้กำลังงานสูงถึง 6K วัตต์ หรือมากกว่านั้นในแต่ละอิมพัลซ์ ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่าความแตกต่างของพลังงานในการปรากฏตัวของผี ผีต้องดูดพลังงานจากบรรยากาศมาแปลงเป็นโฟตอน แต่การทำผีหลอกวิญญาณหลอน ผีจะต้องสะสมพลังงานชั่วขณะหนึ่งก่อน สะสมเอาไว้ให้ได้พลังงานมากพอที่จะปลดปล่อยออกไปเ