ในสังคมไทยทุกวันนี้เรื่องของการศัลยกรรมความงามไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป แล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่พึงพอใจในรูปร่างหน้าตาเดิม ๆ ของตัวเองจึงตัดสินใจลบจุดบกพร่อง เสริมสร้างความมั่นใจ ด้วยการพึ่งมีดหมอ แต่ในวงเวียนของการทำศัลยกรรมนั้น ก็ทำให้ใครบางคนถูกศัลยกรรมพ่นพิษ ผลลัพธ์ไม่เป็นดังหวัง ต้องแก้ตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย จนกลายเป็นคนเสพติดศัลยกรรมเลยก็มี
และเรื่องราวที่เราจะนำเสนอต่อไปนี้ เขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เคยผ่านการมีดมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง อีกทั้งยังโดนเพื่อนล้อจนกลายเป็นปมด้อย ทำให้เด็กหนุ่มในวัย 15 ปี ตัดสินใจเดินทางสู่ถนนสายศัลยกรรมและตลอด ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เขาผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้วทั้งหมด 16 ครั้ง!!! ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้นกว่า 2.5 แสนบาท ...เราไปดูกันซิว่า เพราะเหตุใดทำไมเขาถึงตัดสินใจทำศัลยกรรมหลายครั้งขนาดนี้ แล้วเขาทำศัลยกรรมอะไรส่วนใดมาแล้วบ้าง
โดย "อภิรักษ์"ชาย หนุ่มคนดังกล่าว ได้เล่าเรื่องราวการศัลยกรรมของตัวเองว่า แต่ก่อนตนเป็นคนดำ หน้าตาบ้าน ๆ แถมตอนเรียนอยู่เพื่อน ๆ ก็ชอบล้อว่าเป็นเด็กดอย และการล้อของเพื่อน ๆ นั้นได้กลายเป็นปมด้อยของตนตลอดมา จนกระทั่งตอนปิดเทอม ตนก็นั่งดูทีวี เล่นอินเทอร์เน็ตไปตามประสาวัยรุ่น เลยลองนั่งคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าตนหน้าตาดีเหมือนพระเอกในทีวีก็คงดี จากนั้นตนก็ทำงานหารายได้พิเศษ เก็บเงิน และศึกษาหาคลินิกที่ทำศัลยกรรมอย่างจริงจัง
หลายคนอาจจะสงสัยว่า การทำศัลยกรรมครั้งหนึ่งนั้นต้องใช้เงินมากมาย แล้วทำไมตนในตอนนั้นที่อายุเพียง 15 ปี ถึงมีเงินขนาดนั้น นั่นก็เป็นเพราะตนชื่นชอบ และมีความถนัดทางด้านคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก เริ่มแรกตนก็รับจ้างซ่อมคอมพิวเตอร์ทั่วไป หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาทางด้านโปรแกรมจนสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ ซึ่งก็มีคนติดต่อมาให้ตนทำเว็บไซต์มากมาย ทำให้ช่วงนั้นมีรายได้ ตกประมาณเดือนละ 10,000 - 30,000 บาท และในตอนนั้นตนก็สามารถซื้อ โทรศัพท์มือถือ, โน้ตบุ๊ก แถมยังจ่ายค่าเทอมได้ด้วยตัวเอง จนตอนนี้ตนสามารถซื้อรถเป็นของตัวเองได้แล้ว
และระหว่างที่เก็บเงินเพื่อเสริมหล่อนั้น ตนก็พยายามศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด จนเจอคลินิกที่ไว้ใจได้ ก่อนจะประเดิมขึ้นเขียงผ่าตัดด้วยการเสริมจมูก เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำแล้วจะต้องดูดี ซึ่งตอนนั้นตนได้นำรูปพี่โดม ปกรณ์ ลัม ไปเป็นตัวอย่างแล้วบอกกับหมอว่า อยากได้แบบนี้ ซึ่งหมอก็พยายามทำออกมาให้คล้ายที่สุด แต่แล้วพอทำได้สักพัก ตนก็ไม่พอใจกับรูปร่างจมูก จึงตัดสินใจพักฟื้นสักระยะ แล้วจะกลับไปแก้ไขใหม่อีกรอบ จากนั้นตนก็ได้ทำคาง เพราะคิดว่าคางเดิมของตนมันทู่เกินไป แต่เมื่อทำออกมาแล้ว ตนก็ไม่พอใจ เพราะคางดูแหลม และมองออกชัดว่าไปทำศัลยกรรมมา ตนจึงตัดสินใจแก้ใหม่อีก 3 รอบ แถมยังผ่าตัดริมฝีปากบนให้บางลงอีก ซึ่งการศัลยกรรมปากนั้นเป็น การศัลยกรรมที่เจ็บมาก เพราะเนื้อเยื่อของปากบาง แถมเส้นประสาทยังเยอะอีกด้วย แต่ตนก็เดินหน้าทำต่อไป เพราะอยากจะหล่อ อยากดูดีกว่าเดิม
นอกจากการผ่าตัดศัลยกรรม แล้ว อภิรักษ์ ยังบอกด้วยว่า ตนได้ทำศัลยกรรมชนิดฉีดสารเติมแต่ง ทั้งฟิลเลอร์ ที่ช่วยเติมร่องแก้มให้เต็ม ทั้งโบท๊อกซ์ ที่ช่วยให้กรามเล็กลง และกลูต้าไธโอน ที่ช่วยทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปี ตนได้ทำศัลยกรรมทั้งหมดดังนี้...
ฉีดกลูต้าไธโอนให้ผิวขาว 15 ครั้ง 52,500 บาท
ผ่าตัดเสริมจมูก 2 ครั้ง 12,000, 22,000 บาท
ฉีดฟิลเลอร์ให้แก้มเต็ม 2 ครั้ง 12,000, 8,000 บาท
ฉีดฟิลเลอร์ที่ร่องแก้ม 1 ครั้ง 8,000 บาท
โบท็อกซ์ที่กรามให้หน้าเรียว 1 ครั้ง 7,000 บาท
ผ่าตัดเหลาคาง 3 ครั้ง 15,000 18,000 45,000 บาท
ยิงเลเซอร์หน้าใส 10 ครั้ง 30,000 บาท
ผ่าตัดให้ตาเท่ากัน 1 ครั้ง 20,000 บาท
ผ่าตัดรอยแผลเป็นนูนที่ตา 3 ครั้ง 3,000 บาท
ผ่าตัดริมฝีปากบนให้บาง 1 ครั้ง 5000 บาท
ผ่าตัดรอยแผลเป็นนูนที่คาง 1 ครั้ง 2,000 บาท
รวมระยะเวลา 2 ปี มูลค่าทั้งหมด 257,500 บาท
เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกครั้งแรกในการขึ้นเตียงผ่าตัดนั้น อภิรักษ์ กล่าวว่า ไม่รู้สึกกลัวเลย แต่เมื่อยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดก็จะเข้ามาแทนที่ ซึ่งตนก็ได้แต่ทน และยอมรับ เพราะการศัลยกรรมทุกครั้งเป็นสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ได้มีใครมาบังคับให้ทำ ส่วนเพื่อน ๆ รอบข้างก็มีแอบซุบซิบนินทาบ้างว่าตนไปทำมาอีกแล้ว? คราวนี้ทำอะไรมาอีกล่ะ? ส่วนทางคุณพ่อคุณแม่ ก็มีเตือน ๆ ตนเหมือนกันว่า ทำเกินเหตุ ยังเด็กอยู่เลยไม่น่าไปทำ ซึ่งตนก็บอกกับพ่อแม่ไปว่า สมัยนี้หมอเขาเก่ง ไม่ต้องมีอะไรน่าห่วง
ส่วน กระแสในสังคมในเว็บบอร์ดที่แลกเปลี่ยนข้อมูลการศัลยกรรมนั้น เมื่อตนได้ตั้งกระทู้รีวิวการทำศัลยกรรมไป ก็กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ว่า ตนเด็กขนาดนี้ ทำไมถึงตัดสินใจทำ และหมอทำไมถึงทำให้ พร้อมกับคำถามที่เข้ามาอย่างมากมาย ท้ายนี้ ตนก็อยากจะฝากไปถึงเพื่อน ๆ ที่อยากจะศัลยกรรมว่า ควรศึกษาหาข้อมูล ทั้งข้อดี ข้อเสีย ให้ดี ตั้งสติกับผลกระทบที่จะตามมา ส่วนตนนั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะไม่ทำศัลยกรรมในช่วงนั้น อาจจะรอให้โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยทำ เพราะตนแก้ไปหลายครั้ง เสียเงินฟรี เจ็บฟรีไปหลายหนมันไม่คุ้มกัน
ทางด้านนายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยกรรม เมื่อได้ทราบเรื่องราวของ น้องอภิรักษ์ แล้ว ก็รู้สึกตกใจ และเป็นห่วงหมอที่ทำให้เป็นอย่างมาก เพราะตัวน้องเขายังเด็ก ถ้าเกิดมีเรื่องราวอะไรขึ้นมา หมอจะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้เมื่อหมอตัดสินใจทำให้ ก็คงต้องระมัดระวังความปลอดภัยของผู้ป่วยให้มากที่สุด