เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่สิ่งพวกเขาก่อนั้นเป็นเรื่องที่ "เกินเด็ก" พวกเขาได้ฆ่าคนด้วยความสนุกสนาน ไม่มีมูลเหตุผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังทารุณต่อศพผิดมนุษย์มนา ปรารถนาในการฆ่า ผิดจากภาพลักษณ์ของพวกเขาที่ดูไร้เดียงสาแต่จิตใจนั้นยิ่งกว่าปีศาจ เป็นเพราะนิสัยสันดานของพวกเขาหรือ?? หรือว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อม?? หรือเป็นเพราะครอบครัว คุณเท่านั้นที่จะตัดสิน........
อันดับ 10 ไบรอัน และเดวิด ฟรีแมน (Brian and David Freeman)
ไบรอัน อายุ 17 ปี และเดวิด อายุ 16 ปีสองพี่น้องยักษ์ปักหลักสูงกว่า 6 ฟุต หนักกว่า 200 ปอนด์ ภาพที่คุณเห็นข้างบนนั้นไม่ใช้รอยสักธรรมดา แต่เป็นรอยสักแก๊งนีโอนาซี สองพี่น้องถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันทีหลังมีการพบศพแม่ของสองพี่น้องและน้อง ชายคนรอง ถูกไม้กระบองทุบจนตายในเขตเมืองซอลส์บรี มลรัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1995 ซึ่งคืนก่อนหน้าที่เกิดเหตุมีเพื่อนบ้านได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างผู้ ปกครองและสองพี่น้องดังกล่าว สุดท้ายสองพี่น้องก็ถูกจับคุกตลอดชีวิต
อันดับ 9 เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ ( Edmund Kemper) 1948-??
27 สิงหาคม ปี 1964 ที่เบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ ในขณะนั้นอายุแค่ 15 ปี ได้ยิงตากับยายด้วยปืนล่าสัตว์(ยิงยายแล้วก็เอามีดหั่นเนื้อแทงยายซ้ำๆ จนปลายบิดงอ) หลังถูกตำรวจจับกุมเขาอ้างเหตุผลในเวลาต่อมาว่า "แค่อยากรู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับการฆ่ายาย" เด็กชายเคมเปอร์ถูกวินัจฉัยว่าเป็นโรคจิต(แต่ไอคิวถึง 140 )เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล และถูกปล่อยตัวเมื่อปี 1969 เคมเปอร์อายุ 21 ปี แสร้งแกล้งทำเป็นว่าหายขาด และถูกปล่อยสู่สังคม เมื่อออกสู่ภายนอกเคมเปอร์ก็ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ซื้อรถคันหนึ่งรับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงนักโบกรถและใช้ปืนยิงแล้วแทงให้ตาย ตัดศีรษะ หั่นศพ ใช้กล้องบันทึกภาพ บางรายนำเนื้อไปกินที่บ้าน มีเหยื่อที่โดนวิธีนี้กว่า 6 ราย และเมื่อวันที่ 20 เมษายน 1973 เคมเปอร์ก็ฆ่าแม่ของตัวเองโดยการทุบหัวเธอด้วยค้อนขณะที่เธอหลับอยู่ ตัดหัวเธอออกแล้วข่มขืนศพที่ไร้หัวนั้น จากนั้นเขาก็เอาหัวแม่มาใช้เป็นเป้าปาลูกดอกและเอากล่องเสียงไปทิ้งขยะ เท่านี้ยังไม่พอเขายังฆ่าเพื่อนแม่อีกคน ก่อนที่จะโทรแจ้งตำรวจมาจับตนเอง(ตอนแรกตำรวจนึกว่าเรื่องตลก เคมเปอร์ต้องชี้แจ้งหลายนาทีกว่าตำรวจจะเชื่อ) เคมเปอร์สารภาพต่อตำรวจว่า "แม่เป็นหญิงสารเลว สมควรตาย" สุดท้ายเคมเปอร์ถูกตัดสินคดีฆาตกรรม 8 คดี และถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขายังสุขสบายดีในคุก
อันดับ 8 วิลลี่ บอสเก็ต(Willie Bosket) 1962- ??
วิ ลลี่ บอสเก็ต เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1962 เขาถูกตัดสินในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่นิวยอร์ค เขาฆ่าเหยื่อเพียงเพราะชิงทรัพย์เท่านั้น แต่การตัดสินของเขาใช้กฎหมายผู้เยาว์ มันไม่สาสมต่อการกระทำอันอุกอาจของเขาได้ ทำให้สภาได้ร่างกฎหมายเพื่อให้เยาวชนต้องรับโทษแบบผู้ใหญ่ในคดีอุกฉกรรจ์ ขึ้นมา โดยก่อนหน้านั้น ในวันที่ 19 มีนาคม 1978 วิลลี่ บอสเก็ต ใช้ปืนยิงนายโนเอล เปเรส(Noel Perez) บนรถไฟใต้ดินนิวยอร์คเพียงเพื่อขโมยเงินจำนวนหนึ่งและนาฬิกาข้อมือ แปดวันต่อมาวันเขายิงนายโมเลส เปเลส(Moises Perez) นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับเหยื่อรายแรก)และขโมยเงินของเหยื่อ ไป เขาถูกตัดสินโดยกฎหมายเยาวชนก่อนที่ร่างกฎหมายใหม่นี้จะเสร็จ เขาถูกจำคุกแต่ออกมาอีก 4 ปีให้หลัง(ปล่อยในปี 1983) แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ถูกจับในคดีลอบวางเพลิงและคดีร้ายแรงอีกมากมาย และถูกตัดสินโดยกฎหมายใหม่ในที่สุด เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกขังเดี่ยวในเรือนจำนิวยอร์คตราบจนทุก วันนี้
อันดับ 7 โจชัวร์ ฟิลิปส์(Joshua Phillips) 1984-??
คดี นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1998 ในฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เมื่อเด็กน้อยเพื่อนบ้านของโจชัวร์ ฟิลิปส์ชื่อเด็กหญิง Maddie Clifton อายุ 8 ขวบ หายตัวไปจากบ้านของเขาเอง ตำรวจและอาสาสมัครกว่า 400 คนทำการค้นหาและเสนอรางวัลเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเดิมแต่สุดท้ายก็ไร้ผล(คดีนี้ ถึงมือ FBI) หารู้ไม่ว่าเด็กน้อยคนนั้นอยู่ที่บ้านเพื่อนบ้านนี้แหละหากแต่เป็นศพแล้ว
7 วันต่อมาหลังการหายตัวไปของเด็ก แม่ของโจชัวร์ ฟิลิปส์ทำความสะอาดห้องของเจา เขาพบว่ามีกลิ่นประหลาดและเธอตามหาที่มาของกลิ่นนั้นจนกระทั้งพบร่างของ Maddie ซ่อนอยู่ เธอตกใจและหนีออกนอกบ้านแจ้งตำรวจ โจชัวร์ ฟิลิปส์ซึ่งตอนนั้นอายุ 15 ปี สารภาพว่าเขาทุบตีเพื่อนบ้าน 8 ขวบด้วยไม้เบสบอลจนเสียชีวิตและเขาหอบศพเธอซ่อนในห้องเขาและใช้มีดแทงเธออีก 11 ครั้ง คณะลูกขุนได้ตัดสินให้เขาจำคุกโดยปราศจากทัณฑ์บน และตอนนี้เขายังอยู่ในคุกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
อันดับ 6 ลอรี่ แทคเก็ต(Laurie Tackett) 1974-???
เช้าวันเสาร์ของวันที่ 11 มกราคม ปี 1992 พี่น้องคู่หนึ่งได้ออกไปล่านกกระทาในเขตป่า Jefferson และแล้วเขาก็พบร่างหนึ่งที่ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นตุ๊กตาแต่ปรากฏว่ามันเป็น ศพของซานต้า ซาลีเออร์ (Shanda Sharerwho) สภาพศพของเธอบ่บอกถึงการกระทำอันโหดร้าย มีรอยไหม้อย่างรุนแรงและรอยแผลที่ถูกฟันและแทงด้วยอาวุธมีคม จากการสอบสวนพบว่าฆาตกรคือนางสาวลอรี่ แทคเกอร์ อายุ 18 ปี ซึ่งเธอฆ่าซานต้าเพราะเป็นรักสามเศร้า(แบบเลสเบียน)
นาง สาวลอรี่ แทคเกอร์เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1974 ในMadison อินเดียน่า แม่ของเธอเคร่งศาสนาเป็นชาวคริสเตียน ส่วนพ่อเป็นคนงานโรงงานต้องโทษคดีอาญาร้ายแรงและเธออ้างเคยทำร้ายเมื่อตอน อายุ 5 และ 12 (ฟังดูอาจธรรมดากว่าอันดับอื่นๆ ใช่เปล่าครับ ความจริงแล้วคดีนี้ดังมาก ในวีพีมีเดียก็มี โดยคดีนี้มีชื่อ The murder of Shanda Renee Sharer เนื้อหายาวๆ มากเพราะว่าเล่าตั้งแต่ความขัดแย้งของรักสามเศร้า...ทำไมฮิตเลอร์ไม่อยู่ เนอ)
อันดับ 5 เบรนด้า แอน สเปนเซอร์ ( Brenda Anne Spencer) 1962-??
วัน จันทร์ 26 มกราคม ปี 1979 เบรด้าอายุ 16 ปี ใช้อาวุธปืนไรเฟิล automatic.22 ที่ได้รับเป็นของขวัญจากพ่อในวันคริสต์มาส เธอกราดยิงเด็ก 8 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงเรียนคลีฟแลนด์ อีลิเมนท์ทาลี่ สคูล ในซานดิเอโก้ และพยายามฆ่าครูใหญ่เบอตัน แวคก์ และผู้ปกครอง เธอถูกตำรวจจับกุมหลังจากนั้น 5 ชั่วโมงและถูกตั้งคำถามถึงเหตุผลต่อการกระทำการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนครั้ง นี้ เธอยักไหล่และตอบกลับว่า “ฉันเกลียดวันจันทร์ มันไม่มีเหตุผล และฉันก็ทำไปเพราะมันสนุกมากๆ เหมือนกับได้ยิงเป็ดในบ่อน้ำ อีกอย่างเด็กๆ พวกนั้นเหมือนฝูงวัวเมียยืนอยู่รอบๆ ซะด้วยสิ”("I don't like Mondays. This livens up the day." She also said, "I had no reason for it, and it was just a lot of fun"; "It was just like shooting ducks in a pond"' and "[The children] looked like a herd of cows standing around; it was really easy pickings." ) ผลสุดท้ายเบรนด้าถูกตั้งข้อหาฆ่าคน และบาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย ส่วนประโยค “ฉันไม่ชอบวันจันทร์นั้น” ได้ถูกนำไปใส่ในหนังเรื่อง The Breakfast Club(1985) และยังเป็นแรงดลใจในเพลง “ฉันไม่ชอบวันจันทร์(I don't like Mondays) โดยศิลปิน Boomtown Rats
อันดับ 4 จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน( Jon Venables and Robert Thompson)
ปี 1993 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน 2 เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(ทั้งคู่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบ) วันนั้นเป็นวันเปิดเรียน แต่เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปเรียนสักนิด เขาไปห้างสรรพสินค้า ขโมยลูกกวาด, ตุ๊กตาคอหมุนๆ, แบตเตอรี่จำนวนหนึ่ง, กระป๋องสเปย์สีน้ำเงิน 1 กระป๋อง และบังเอิญพวกเขาเห็นสิ่งหนึ่งน่าขโมยเป็นบ้าเลย(ไอเดียนรก) มันคือเด็กน้อยนามเจมส์ บัลเกอร์(James Bulger)อายุเพียง 2 ปีกับ 11 เดือนเท่านั้น เด็กสองคนเลยลักพาตัวเด็กออกจากห้างเสียเลย(จากภาพข้างล่าง เป็นภาพกล้องรักษาความปลอดภัยในห้าง คุณจะเห็นเด็กเล็ก(เจมส์)ถูกจูงมือโดยเด็กชายจอนและมีโรเบิร์ตเดินนำหน้า ทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกัน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่านี้เป็นภาพสุดท้ายที่บันทึกเจมส์ในขณะมีชีวิตอยู่)
ไม่รู้ว่าเมื่อออกจากห้างทั้งสองทำ อะไรกับเด็กบ้าง รู้แน่ๆ พวกเขาพาเด็กเดินจนขาลากไปกว่าหลายไมล์เรื่อยเปื่อยเป็นเวลานานจนกระทั้ง มาถึงรางรถไฟจากนั้นก็ไม่รู้เพราะอะไรอีกทั้งสองตัดสินใจฆ่าเด็ก โดยฉีดสีสเปย์ใส่ตาเจมส์ จากนั้นก็รุมทุบตีด้วยมือและเท้า ท่อนเหล็กและก้อนหินกระหน่ำไปใส่ที่หัวของเด็กน้อยกว่า 42 แผลด้วยความเมามัน จนกะโหลกแตกจากนั้นก็เปลือยท่องร่างเอาแบตเตอรี่ยัดที่รูทวาร จากนั้นก็ลากศพเด็กไปวางบนรางรถไฟเพื่อให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี
และ เมื่อมีการพบศพเจมส์ในเวลาต่อมาเด็กทั้งสองก็ถูกจับเกือบทันที เพราะหลักฐานจากกล้องวีดีโอวงจรปิด หลังจากถูกจับกุมทั้งสองเอาแต่ร้องโวยวาย ใช้ความเป็นเด็กไร้เดียงสา บอกว่าไม่รู้เรื่อง โยนความผิดไปอีกฝ่ายไปๆ มา จนคดีนี้ไม่แน่ชัดว่าใครต้นคิดใครฆ่าเจมส์กันแน่ ท้ายสุดศาลอังกฤษตัดสินจำคุกเด็กสองคนแบบกฎหมายผู้ใหญ่ และทั้งสองถูกปล่อยตัวออกไปในปี 2001
อันดับ 3 เจสซี่ โพเมอร์รอย(Jesse Pomeroy) 1859-1932
เจ สซี่ โพเมอร์รอยถูกตำรวจจำกุมได้ในขณะที่เขาอายุ 14 ในปี 1874 ในข้อหาสังหารเด็ก 2 คนอย่างน่ากลัว เขาถูกตั้งฉายาว่า “เด็กมารร้ายแห่งเมืองบอสตัน(อเมริกา)” ก่อนหน้านั้น 3 ปีก่อน(1871-1872) เขาออกอาละวาดทำร้ายและทรมานเด็กชาย 7 คน และถูกจับส่งตัวไปโรงเรียนดัดสันดานที่บอสตัน(มีรายงานว่าเขามีอาการทางจิต) และถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 1875 โดยมีทัณฑ์บนไว้ เขาเฉลิมฉลองการออกจากที่คุมขังด้วยการฆ่าเด็กสาววัย 10 ขวบชื่อ Katie Curran ด้วยการตัดแขนขาเหมือนตุ๊กตาของเล่นไม่มีผิด แต่เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้เขาลักพาตัวเด็กชาย Horace Mullen วัย 10 ขวบ ไปที่บึงและสังหารเขาด้วยการใช้มีดแทงอย่างโหดร้ายและเกือบตัดหัวของเด็กชาย จนหลุดจากบ่า เจสซี่ให้เหตุผลว่าเขาฆ่าเด็กชายคนนั้นเพราะมีดวงตาที่แปลก(เด็กชายมีตาสี ขาว) เขายอมรับผิดในเวลาต่อมา และถูกจับคุก 40 ปีอย่างโดดเดี่ยว(เจสซี่รับได้บันทึกสถิตว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องอายุน้อยที่ สุดที่ตัดสินในอเมริกา) สุดท้ายเจสซี่ตายเพราะสิ้นอายุไขเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1932 ขณะอายุ 72 ปี
อันดับ 2 แมรี่ เบล( Mary Bell) 1957-??
วัน ที่ 25 พฤษภาคม ปี 1968 ที่ย่านนิวคาสเซิล ทางตอนเหนือของอังกฤษ เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 11 ปี ของแมรี่ เบล เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(อีกแหละ) เธอเลยฉลองวันเกิดนี้โดยการบีบคอเด็ก มาร์ติน บราวน์ เด็กชายอายุ 3-4 ขวบ จนถึงแก่ความตายแล้วยังไปยั่วแม่ของเด็กทำนองว่า”ลูกคุณตายแล้วเหงาหรือ เปล่า ลูกคุณตายแล้วร้องไห้หรือเปล่า” แต่นี้ยังไม่พอสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมเธอกับเพื่อนของเธอชื่อนอม่า เบล(นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่ใช่ญาติ) ได้ฆ่าเด็กชายไบรอัน โฮล วัย 4 ขวบ และสลักที่ท้องของเด็กชายด้วยอักษรย่อ M และ N ด้วยใบมีดโกน พวกเธอทั้งสองถูกศาลพิจารณาคดีในข้อหาสังหารโหดมนุษย์ 2 ศพ ผลคือคือแมรี่ เบลถูกจำคุกและไปบำบัดจิต ส่วนเพื่อนอีกคนพ้นข้อกล่าวหา(ได้ไง??) ปี 1980 เธอถูกปล่อยตัวจากคุกเมื่ออายุได้ 22 ปีทั้งๆ ที่รักษาโรคจิตไม่หาย เธอมีลูกและหายสาปสูญไปจากสังคม และวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2003 ทางการก็ประกาศว่าเธอเป็นบุคคลนิรนาม
อันดับ 1 สังหารหมู่ในโรงเรียน(School Shootings)
การ กระทำการสังหารหมู่ในโรงเรียนขึ้นต่อเนื่องใน 15 ปีต่อมา ที่น่าสังเกตคือส่วนมากเหตุการณ์สังหารหมู่นี้ผู้ก่อการส่วนมากจะเป็นเด็ก อายุไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ พวกเขากลับมีอาวุธที่ไม่รู้เอามาจากไหน เช่น ไรเฟิล ปืนกล มีดทหาร ปืนพก ฯลฯ แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้หยิบอาวุธสังหารเพื่อนนักเรียนด้วยกันอย่างเลือดเย็น เป็นเพราะปัญหาทางในโรงเรียนเหรอ(เพื่อนแกล้ง, ครูให้การบ้านเยอะ) หรือจะเป็นปัญหาทางบ้าน หรือเพราะเกมส์(GTA) เรามาดูตัวอย่างที่ผ่านๆ มาดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
15พฤศจิกายน 1995 เจมี่ เราซ์(Jamie Rouse) วัย17ปีแต่งชุดดำไปโรงเรียริชแลนด์ ที่ไจลส์ เคาน์ตี้ รัฐเทนเนสซี่ พร้อมปืนเรมิงตันขนาด.22เขายิงครูไป2คนและหันปืนเล็งยิงโค้ชทีมฟุตบอลพร้อม ยิ้มระบายบนใบหน้าแต่พอดีเด็กคนหนึ่งเดินสวนพอดี จึงโดนแทน
20 เมษายน 1998 ที่โรงเรียนคอลัมบายน์ไฮสคูล(โคลัมไบน์) อเมริกา อีริค แฮริส อายุ 18 ปี และ ไดเลน เคล็บโบลด์ อายุ 17 ปี (Eric Harris & Dylan Klebold)ได้เดินทางเข้าไปโรงเรียนด้วยท๊อปบู๊ตแบบทหาร เสื้อคลุมสีดำแบบในหนังแอ็คขั่น สะพายเป๋กระเป๋า ที่มีอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนลูกซอง เบอร์ 12 แบบบรรจุ 8นัด ลูกซองสั้นลำกล้องคู่ ปืนกลมือขนาดเบาTEC-DC9 ระเบิดที่ทำขึ้นเอง เมื่อมาถึงห้องเรียน นักเรียนทั่วไปไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติที่จะเกิดขึ้น อาจจะเพราะทั้งสองดูเพี้ยนๆอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ จนกระทั่ง พวกเขาสาดกระสุนใส่เพื่อนนักเรียนอย่างเมามันและไม่เลือกหน้า ก่อนที่เรื่องนี้จบลงด้วยการฆ่าตัวตายทั้งคู่
วัน ที่ 21 พฤษภาคม 1998 คิปแลนด์ คิงเคล(Kipland Kinkel) อายุ 15 ปี ที่เพิ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนสปริงฟิลด์ รัฐโอเรกอน ข้อหาพกอาวุธปืนเข้าห้องเรียน เขาเข้ามาโรงเรียนนี้อีกครั้งพร้อมปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ตรงเข้าห้องอาหารและกราดยิงฝูงชนอย่างไม่รีรอ เป็นเหตุให้นักเรียนเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บอีก 8 คน
24 มีนาคม ปี 1999 แอนดรูว์ โกลเด้น(Andrew Golden) อายุ 11 ปีพร้อมสหายมิทเชล จอห์นสัน(Mitchell Johnson) อายุ 13 ปี ในชุดพราง พร้อมปืน โกลเด้นเดินเข้าไปโรงเรียนเวสต์ไซด์ มิดเดิ้ล เมืองโจนส์ เบอโร่ รัฐอาร์คันซอ แล้วแอบกดสัญญาเตือนภัยเพื่อให้ผู้คนแตกตื่น จากนั้นเขาก็วิ่งกลับหาจอห์นสันที่ทำท่านอนเตรียมยิง และขณะที่ผู้คนกำลังชุลมุน ทั้งสองก็กราดยิงกลุ่มนักเรียน 15 คน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไป 13 คน
1 ตุลาคม ปี 2007 ลุค วู้ดแฮม (Luke Woodham)วัย 16 ปี ถูกแฟนสาวมาบอกเลิก เขาโกรธมาก จนใช้มีดแทงแม่ตัวเองดับเช้าวันนั้น แล้วคว้าปืนเดินเข้าโรงเรียนเพิร์ล รัฐมิสซิปปี้ เขาตรงลิ่วไปคน ฆ่าผู้หญิงคนนั้น กับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จากนั้นก็ยิงเด็กนักเรียนอีก 7 คน คนสุดท้ายถูกยิงแต่รอดเพราะกระสุนหมดก่อน และในขณะที่ลุคเดินกับไปเอาปืนอีกกระบอกหนึ่งผู้ช่วยครูใหญ่ก็จับตัวเขาได้ ทัน ภายหลังลุคตัดพ้อว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เขาทนไม่ไหวแล้ว “คนอย่างผมมักถูกเหยียบย่ำบาทาทุกวันราวขยะ ผมอยากให้สังคมได้รู้ว่า ถ้าเขาทำกับเราอย่างนี้ ก็จะโดนอย่างนี้กลับไป
Credit : Fwdder.com ( คือว่ามันเก่าแล้ว แต่อยากให้อ่านกันอีกรอบ)