ต้อนรับวาเลนไทน์ด้วยฉากจูบ-เลิฟซีนแรกในโลกภาพยนตร์ และหนังที่ "เปลือยล่อนจ้อน" ที่สุด

ถ้าอยากทราบว่า ฉากจูบแรกของโลกภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อใด ในหนังเรื่องไหน?


ฉากเลิฟซีนแรกๆ มาจากภาพยนตร์เรื่องใด?


และหนังเรื่องอะไรที่ "เปลือยล่อนจ้อน" ที่สุด?

อ่านคำตอบได้ที่นี่

-1-ฉากจูบแรกในโลกภาพยนตร์ 1896

ภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงว่ามีฉากเลิฟซีนที่เปิดเผยในยุคแรกๆ โดยมักถูกยกตัวอย่างนำมากล่าวอ้างถึงคือ From here to eternity ในฉากที่เบิร์ต แลงคาสเตอร์ และเดเบอร่าห์ คาร์ นัวเนียอยู่ริมหาด โดยมีคลื่นทะเลสาดซัด หนุ่มสาวในชุดว่ายน้ำ นั่นคือหนังปี 1953 ที่ว่ากันว่ายุคนั้นฉากดังกล่าว มีเลิฟซีนที่เปิดเผยที่สุดแล้ว
 

 


 

 

แต่ถ้าย้อนขึ้นไปอีกในปี 1896 หนังที่ชื่อ The kiss between May Irwin and John Rice
เป็นหนังภาพเคลื่อนไหวยุคแรกที่กล้าให้นักแสดงละครมาแสดงบทจูบกันออกหน้ากล้อง
 

 


 

 

 

ภาพตัวอย่างใน The kiss between May Irwin and John Rice

นับถึงวันนี้ฉากจูบแรกบนแผ่นฟิล์ม ก็ผ่านไป 116 ปี แล้ว และฉากจูบก็เป็นเรื่องทั่วไปในหนัง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเป็นการเริ่มต้นก็มีประวัติศาสตร์ของมันอยู่

The kiss…อาจจะเรียกเป็นภาพยนตร์ไม่เต็มปากนัก แต่น่าจะเป็นการเล่าเรื่องราวที่เป็นภาพเคลื่อนไหวซะมากกว่า เพราะช่วงนั้นการสร้างภาพยนตร์ยังเหมือนการทดสอบ ทดลองเครื่องมือของระบบถ่ายภาพเพื่อการพัฒนามากกว่าจะเน้นเนื้อหาบอกเล่าเรื่องราวอย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน เป็นลักษณะการทดลองใช้กล้องที่ผลิตขึ้นจากบริษัทของโธมัส อันวา เอดิสัน
 

 


 

 


 


 

-2-ฉากเลิฟซีนฮือฮาแรกๆ 1953

แต่ถ้าจะหาเลิฟซีนแรกๆ ของฮอลลีวู้ดมาดูก็ต้องย้อนไปดู From here to eternity ในฉากที่สวยงามริมหาดนั่นเอง
 

 


 

 

ฉากเลิฟซีนพลอดรักระหว่างคู่พระนางกลายเป็นทั้งความแปลก สด ใหม่ และถูกพูดถึงในวงกว้างอย่างมากในยุคนั้น

 


 

 


 

 


 

 

From here to eternity ฉากที่ถูกพูดถึง และเป็นหนึ่งในภาพคลาสสิคตลอดกาลของฮอลลีวู้ด

 


 

หนังขาวดำ ความยาวเกือบๆ 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ พูดถึงประเด็นศีลธรรมในจิตใจมนุษย์ และความอยุติธรรม ดำมืดของกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนเหตุการณ์ถล่มเพิร์ล ฮาร์เบอร์ไม่นาน

 


ตัวละครโดดเด่นนอกจากพระนาง 2 คน คือ เบิร์ต แลงคาสเตอร์ และเดอเบอร่าห์ คาร์ แล้วยังมีมอนต์โกเมอรี่ คลิฟท์ ในบทพลแตรทหารที่ถูกกดดันบีบคั้นจากกองทัพ และ แฟรงค์ ซิเนตร้า แสดงเป็นพลทหารเลือดร้อน

 


ฉากเลิฟซีนในหนังเรื่องนี้กลายเป็นข้อถกเถียง พอๆ กับเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ทำลายภาพลักษณ์กองทัพ
 

 


 

 

อย่างน้อยฮอลลีวู้ดก็ยังเคยถกเถียงกันถึงฉากจ่าทหารอาชีพ ตัวเอกของเรื่องลักลอบมีความสัมพันธ์กับเมียของผู้บังคับบัญชา โดยทั้งสองคนในชุดว่ายน้ำกำลังคลอเคลียกันอยู่ริมหาด!?

 

 

 


 


 

-3-หนังที่เปลือยล่อนจ้อนที่สุด

 


แต่หนังที่ต้องใช้คำว่า ยิ่งกว่านู้ด เพราะถูกกล่าวขานถึงว่านี่ คือหนังที่โป๊ และแรดที่สุดในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2007 นั่นคือ Shortbus

 


เวลาจะต้องบอกใครว่า ดูหนังเรื่องนี้สิ จะมีคำถามเป็นหนังแนวไหน...
คำตอบคือแม้ฉากหน้าจะนำเสนอความ "แรง" แต่เนื้อในต่างหากที่อยากให้มอง

 

 

 

 


 

 


 

 

เป็นหนังที่ไม่ค่อยจะแนะนำได้ถนัดปาก (หนังอเมริกันเรื่องนี้เคยได้รับเลือกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ โดยจำกัดอายุผู้เข้าชมต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี) ...ค่าที่หนังพาเราไปไกล Shortbus ผ่าประเด็นเซ็กซ์แบบทะลุปรุโปร่ง บางคนบอกว่านี่มันเป็นหนังโป๊มากกว่าหนังอาร์ตหรืออินดี้

 


 

 

แต่หากมองเรื่องนู้ดๆ เซ็กซ์สารพัดแบบในหนังเป็นเพียงเครื่องมื่อสื่อสาร นี่คือหนังที่พูดถึงสภาพจิตใจคนเมืองที่อยู่ในตึก ความเหงา ฉายฉวย และไขว่คว้าหาอะไรที่ไม่รู้มันมีจริงหรือไม่

 


 

 

Shortbus พูดถึงเหล่านิวยอร์กเกอร์ในเมืองใหญ่ที่ต่างก็โหยหาความรัก ความสงบสุขทางจิตใจ ต่างดูมีความเศร้าแฝงเร้น และยังแสวงหามิสิ้นสุด ตัวละครหลัก 9 คน เป็นภาพสะท้อนของชาวเมืองหลวงที่ "แสวงหา" และหาทางหลุดพ้น

 


Shortbus ในเรื่องคือชื่อผับที่ดีไซน์บรรยากาศให้เป็นแบบยุคยูโทเปีย หลุดจากโลกแห่งความจริง ชาย หญิงไร้สภาวะทางเพศ ตัวละครก้าวผ่านการแบ่งชาย หญิง- -หนังพูดถึงความรู้สึกของชาย หญิง เกย์ กะเทย เลสเบี้ยนในระนาบที่ไม่มีการแบ่งแยกอีกต่อไป

 


ทุกคนน่าจะถูกเรียกเพียงว่า "มนุษย์"

 


 

มนุษย์ใน Shortbus สามารถพูดคุยเรื่องเพศได้เปิดเผย พูดคำประเภทที่ถูกระบุว่าเป็น "คำไม่สุภาพ" เสมือนเป็นคำทั่วไปจนไม่มีความหยาบอะไร

 


ทำนองเดียวกับภาพที่ปรากฏออกมาแม้จะดูติดเรท และร้อนแรง แต่สื่อนัยว่านี่แหละ "ธรรมชาติ" ของมนุษย์

 


 

 

 


ภาพที่ปรากฏในหนังพาเราไปดูกลุ่มมนุษย์เปลือยกายนัวเนียกันในผับละลานตาไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพใดเสมือนว่านี่เป็นดินแดนที่ก้าวผ่านด้านเพศ

 


 

อีกด้านหนึ่งหนังมีประเด็นที่พูดถึงวิถีชีวิตของคนในเมืองหลวง ผับชอร์ตบัส ที่เปิดอย่างลึกลับนซอกมุมตึกแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก จึงเป็น "แหล่ง" หรือที่รวมของกลุ่มคนที่อัดอั้นและมีคำถามต่อการแสวงหาความสุข
 

 


 

 

ทั้งยังมีหลายฉากที่ผู้คนในชอร์ตบัสวิพากษ์เชิงเหน็บแนมจิกกัดต่อเมืองหลวงที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในมหานครที่มีสีสันและใหญ่โตที่สุดในโลกอย่างนิวยอร์ก เช่นที่กะเทยเจ้าของผับชอร์ตบัสเอ่ยขึ้นมาว่า "ยุคนี้คือยุคซิกส์ตี้ แต่สิ้นหวังมากกว่า"

 


 

 

 


 

 

ชื่อผับชอร์ตบัสจึงมีความหมายในทำนองว่าที่แห่งนี้คล้ายๆ school bus "รถโรงเรียน" คันสีเหลืองที่รับเด็กๆ ขึ้นไป และมุ่งหน้าไปแสวงหาความหลุดพ้น ปลดปล่อยความคิดบนรถคันนั้น

 


 

 

อย่างไรก็ตามภาพติดเรตเอ็กซ์ใน Shortbus และฉากเซ็กซ์โจ่งแจ้งไม่ได้ถูกใส่มาเพื่อความสะใจ แต่ "จอห์น คาเมรอน มิตเชล" ผู้กำกับฯ (หนุ่มเกย์ และร่วมแสดงเปลือยในหนังด้วย) บอกกล่าวผ่านตัวละครมากมายที่กำลังมีเซ็กซ์นั้นว่า ความสุขแบบคนเมืองที่กำลังแสวงหาแท้จริงนั้น มันเป็นไปได้หรือ และที่สุดแล้วความสุขนั้นมันมีจริงหรือ??

 


 

Shortbus ลงเอยด้วยคำถามที่ว่าแม้ในที่สุดเราอาจได้พบมัน แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันจะเป็นการการค้นพบความสุข (ทางจิตใจ) อย่างยั่งยืนแค่ไหน

 


 

 

กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...