ตำนาน "ปืนใหญ่นางพญาตานี"
สถานที่หล่อปืนใหญ่
สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
ประวัติความเป็นมา
สถานที่หล่อปืนใหญ่ เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นที่หล่อปืนพญาตานี ซึ่งเป็นปืนที่รู้จักกันมาแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ด้วยเป็นปืนโบราณที่มีลักษณะเด่นน่าสนใจอยู่หลายประการคือ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุด และสวยงามยิ่งกว่าปืนกระบอกใดที่มีอยู่ในประเทศขณะนี้ เป็นฝีมือของช่างหล่อชาวปัตตานีในอดีต
ประวัติความเป็นมาของปืนใหญ่นี้มีผู้เขียนไว้หลายฉบับ แต่ข้อความแตกต่างกัน โดยเฉพาะชื่อของผู้สร้างปืน และนายช่างผู้หล่อปืน ดังนี้
จากหนังสือสยาเราะห์เมืองตานี ของนายหะยีหวันหะซัน เขียนไว้ว่า นายเรือสำเภาจีนได้นำปืนกระสุนมาถวายแก่พญาอินทิรา ทำให้พญาอินทิราเกิดความละอายต่อชาวจีนผู้นั้น เนื่องจากพระองค์มีฐานะเป็นเจ้าผู้ครองนคร แต่หาได้มีอาวุธปืนไว้ป้องกันบ้านเมืองไม่ จึงเรียกประชุมมุขมนตรี ให้จัดหาช่างและทองเหลืองมาหล่อปืนให้ได้ภายในระยะเวลา ๓ ปี และห้ามพ่อค้านำทองเหลืองออกนอกเมือง เมื่อได้ทองเพียงพอแล้ว พญาอินทิราได้ให้นายช่างชาวโรมัน ชื่อ อับดุลซามัด เป็นผู้ทำการหล่อปืนเมื่อ "วันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนรอมดอน ปีชวด นักษัตร ฮัจยาเราะห์ ๗๘" ได้ปืนใหญ่มา ๓ กระบอก คือ
กระบอกที่ ๑ มีชื่อว่า ซือรีนัครี
กระบอกที่ ๒ มีชื่อว่า โต๊ะโบะ
กระบอกที่ ๓ มีชื่อว่า นางเลียว
หนังสือประชุมพงศาวดารภาค ๓ พงศาวดารเมืองตานี ซึ่งพระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา เป็นผู้เรียบเรียงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า) กล่าวถึงการสร้างปืนใหญ่ ความว่า นางพญาตานี ได้หล่อปืนทองเหลืองขึ้น ๓ กระบอก นายช่างผู้หล่อเป็นชาวจีน ฮกเกี้ยน แซ่หลิม ชื่อเคี่ยม มาได้ภรรยาเป็นชาวเมืองปัตตานี จึงได้นับถือศาสนาอิสลาม ชาวเมืองเรียกชื่อว่า "หลิมโต๊ะเคี่ยม"
การหล่อปืนกระบอกที่หนึ่ง และที่สองผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แต่ปืนกระบอกที่สาม เมื่อเร่งไฟสุมทองเหลืองแล้วกลับเททองเหลืองไม่ลงเบ้า หลิมจึงตั้งพิธีบวงสรวงเทวดาขอเอาร่างกายเป็นเครื่องเซ่นสังเวย ในที่สุดหลิมก็สามารถเททองเหลืองหล่อได้สำเร็จและยอมอุทิศชีวิตดังที่ได้ปฏิภาณไว้ โดยไปยืนตรงหน้ากระบอกที่สามแล้วสั่งให้คนยิงปืน แรงของดินปืนหอบพาร่างของหลิมหายสาปสูญไป
สยาเราะห์กรียาอันมลายูปัตตานี ซึ่งนายอิบราฉิมซากรี ชาวกลันตัน เป็นผู้เขียนได้กล่าวว่า นางพญาบีรูทราบข่าวว่ากองทัพสยามจะยกมาตีเมืองตานี จึงให้มุขมนตรีจัดหาทองเหลืองและนายช่างมาหล่อปืนไว้เพื่อต่อสู้กับกองทัพกรุงสยาม ได้นายช่างชาวจีน ชื่อโกเคี่ยม ภายหลังเข้ารีตเป็นมุสลิม เรียกกันว่า โต๊ะเคี่ยม มาเป็นคนหล่อปืนใหญ่ได้ปืนรวม ๓ กระบอก มีชื่อเรียกดังนี้
๑. ศรีนัครา
๒. ศรีปัตตานี
๓. มหาเสลา
จากประวัติตามตำนานพื้นบ้านที่กล่าวไว้นั้น ไม่สามารถสรุปได้ว่าปืนกระบอกนี้สร้างขึ้นเมื่อใดแน่ ถ้าพิจารณาลักษณะปืนพญาตานี จะเห็นได้ว่าเป็นแบบรูปปืนโบราณเนื้อทองสัมฤทธิ์ ลำกล้องเรียบ มีวงแหวนรัดปากลำกล้องหนา ๖ เซนติเมตร วงแหวนรัดท้ายปืนหนา ๑๐ เซนติเมตร และวงแหวนรัดกลางกระบอกปืนเป็นระยะๆ อีก ๔ วงแหวน ปากลำกล้องปืนกว้าง ๔๔ เซนติเมตร ตัวปืนยาว ๖ เมตร ๘๙ เซนติเมตร บรรจุกระสุนทางปากกระบอก ใช้ดินดำเป็นดินระเบิด จุดดินระเบิดผ่านทางสายชนวน ที่ผิวกระบอกปืนมีสัมฤทธิ์รูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ อุดอยู่ทั่วไป อันเป็นกรรมวิธีที่ช่างหล่อโบราณนิยมใช้กัน ดังนั้นปืนกระบอกนี้ ควรจะทำการหล่อก่อนสมัยนางพญาบีรู คือยุคแรกๆ ของการนำปืนเข้ามาใช้ในแหลมมลายู
เมืองตานีสมัยนั้นเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งเมืองหนึ่งในแหลมมลายูด้วยที่พ่อค้ามุสลิมรังเกียจชาวโปรตุเกส จึงอพยพกันมาทำการค้าขายที่เมืองตานีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมืองตานีก็ควรจะมีอาวุธปืนใช้แล้วเช่นเดียวกับที่เมืองมะละกามีเพราะปืนเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่าอาวุธอื่นใด และเป็นของที่เพิ่งเกิดใหม่ๆ ใครๆ ก็อยากได้ไว้ประดับบารมีบ้านเมืองของตน ครอเฟริดว่า "พวกมลายูรู้จักใช้ปืนไฟแล้ว เมื่อพวกโปรตุเกสเข้ามาถึงหมู่เกาะแห่งนี้" ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่า ปืนพญาตานี ควรจะสร้างขึ้นในสมัยของพญาอินทิราผู้เป็นปู่ของพญาบีรูมากกว่า หากนางพญาบีรูเป็นผู้สร้าง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็คงไม่รับสั่งให้ "จารึกนามลงไว้กับกระบอกปืนว่า "พญาตานี" เป็นแน่
ลักษณะทั่วไป
เป็นแหล่งชุมชนโบราณ รูปร่างเป็นเนินดิน กว้างจากทิศตะวันตกถึงทิศตะวันออก ยาวด้านละ ๔๑.๐๐ เมตร ยาวจากทิศเหนือถึงทิศใต้ ยางด้านละ ๔๒๐ เมตร พื้นที่ ๑ ไร่ ๒๒ ตารางเมตร สภาพปัจจุบันเป็นเนินดินที่มีซากเถ้าถ่านจากการหลอมโลหะ จนเนินดินนี้สุกและหญ้าไม่ขึ้นอยู่ในสภาพเดิม ปัจจุบันเป็นที่โล่ง
หลักฐานที่พบ
เป็นแหล่งถลุงโลหะที่ทำการหล่อปืนใหญ่พญาตานี มีลักษณะเป็นลานกว้าง มีกร่อนตะกอนของทองเหลืองอยู่มาก
เส้นทางเข้าสู่สถานที่สำคัญ
อยู่ติดกับทางหลวงแผ่นดินสายปัตตานี - นราธิวาส ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๘ กิโลเมตร