เปิดใจ ยุทธ บางขวาง พี่เลื้ยงนักโทษประหาร

 

เปิดใจ ยุทธ บางขวาง พี่เลี้ยงนักโทษประหาร

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดยคุณ duangaes 

ภายใต้กรอบกฎหมายไทย เมื่อผู้ใดกระทำผิดก็ต้องกลายเป็นนักโทษถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งระยะเวลาตามกฎหมายบังคับ ใครโทษเบาก็อาจจะติดคุกไม่นาน ส่วนใครที่เป็นนักโทษร้ายแรงอาจจะต้องจำคุกนานเป็นสิบ ๆ ปี หรืออาจจะติดคุกตลอดชีวิต หรือนักโทษบางคนอาจจะต้องหมดลมหายใจ ด้วยการถูกปลิดชีพจากเพชรฆาตในแดนประหารก็เป็นได้... 

และในค่ำคืนของวานนี้ (30 มกราคม) รายการวีไอพี ก็ขอนำเสนอเรื่องราวของ คุณยุทธ บางขวาง หรือ อรรถยุทธ พวงสุวรรณ หรือทีเรียกกันว่า "พี่เลี้ยงนักโทษประหาร" ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนพานักโทษก้าวเข้าสู่แดนประหาร และอยู่ในทุกช่วงขั้นตอนของการประหาร พร้อมทั้งช่วงเวลาสุดท้ายของลมหายใจของนักโทษเหล่านั้น … ไปดูกันซิว่า อาชีพ "พี่เลี้ยงนักโทษประหาร" มีการทำงานอย่างไร และเขารู้สึกอย่างไรบ้าง ที่จะต้องส่งนักโทษประหารเข้าสู่ความตาย 

โดยคุณยุทธ ได้เล่าเรื่องราวในเส้นทางการทำงานของเขาให้ฟังว่าตนสอบติดสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) แล้วเห็นว่ากรมราชทัณฑ์รับสมัครเจ้าหน้าที่หลายอัตราทั่วประเทศ ตนจึงไปสอบดู ซึ่งผลการสอบตนผ่านการคัดเลือกเป็นอันดับที่ 38 จากจำนวน 300 กว่าคน นับว่าเป็นอันดับที่ดีเลยทีเดียว ทั้งนี้ตอนเลือกที่ทำงานว่า ตนจะเข้าไปอยู่ในสังกัดใด ตนก็เอะใจว่า ทำไมลำดับที่ 1 ถึง 37 ไม่มีใครเลือกที่จะลงเรือนจำกลางบางขวางเลย พอถึงคิวของตนด้วยความที่เวลาอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าว ก็จะได้ยินชื่อ "เรือนจำบางขวาง" อยู่ตลอด และตนก็ไม่รู้จักที่อื่นเลย ตนเลยตัดสินใจเลือกอย่างไม่ลังเล พอตนเลือกเสร็จ คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างพากันปรบมือให้กับตน ตนเลยถามว่า ทำไมต้องปรบมือกันด้วย พวกเขายิ้มและหันว่าบอกกับตนว่า "กล้ามาก ๆ เพราะบางขวางเป็นเรือนจำสำหรับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์" ซึ่งตนก็แอบตกใจอยู่ลึก ๆ แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เรือนจำบางขวางอยู่ในจังหวัดนนทบุรี 

ช่วงแรก คุณยุทธ ก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือประสานงาน ตรวจนักโทษที่เข้าออก ตรวจค้นอาวุธ ดูแลอาหาร รวมไปถึงระงับเหตุต่าง ๆ สำหรับอาวุธของตน ถ้าอยู่ในเรือนจำก็จะเป็นกระบอง ส่วนถ้าออกมานอกเขตก็จะพกปืนด้วย สำหรับนักโทษก็สิ่งของติดตัวด้วยเช่นเดียวกันนั้นก็คือ "ตรวน" ถ้านักโทษใหม่ ๆ เข้ามาก็จะตีตรวนประมาณ 3 เดือนถึงจะเอาออก ส่วนนักโทษที่มีพฤติกรรมร้ายแรง เช่น ถูกถอดตรวนไปแล้วแต่ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ก็ต้องตีตรวนใหม่ นอกจากนี้ยังมีนักโทษประหารที่ต้องถูกตีตรวนตลอด ชนิดไม่มีที่ถอดเพราะตรวนดังกล่าวจะเชื่อมเหล็กเข้าด้วยกัน ถ้าจะถอดต้องใช้ที่ตัดเหล็กอย่างเดียว 

เมื่อถามถึงที่มาที่ไปจากผู้คุมขังธรรมดา กลายเป็นพี่เลี้ยงนักโทษประหารได้อย่างไร คุณยุทธ กล่าวว่า ช่วงนั้นมีคดีประหารจำนวนมาก และพี่เลี้ยงคนแรกเขาถอนตัว จึงเรียกเพื่อนของตนให้ทำต่อ แต่เพื่อนตนทำได้แค่ครั้งเดียวก็ถอนตัว พอมีการประหารครั้งต่อไป รุ่นพี่ก็เลยให้ตนไปดูงานการเป็นพี่เลี้ยงนักโทษประหาร...

อย่างไรก็ตาม ตลอดการทำงานกว่า 23 ปี ของคุณยุทธนั้น ได้เริ่มเป็นพี่เลี้ยงนักโทษประหาร เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2542 จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน ตนทำหน้าที่มาทั้งหมด 40 ครั้ง เป็นยิงเป้า 38 ครั้ง ฉีดยา 2 ครั้ง ทั้งหมดเป็นชาย 39 คน และหญิง 1 คน ส่วนหน้าที่ก็จะทำทุกอย่างตั้งแต่เบิกตัวจนถึงวินาทีสุดท้ายที่จบชีวิต... 

สำหรับครั้งแรกในการพานักโทษเข้าแดนประหารนั้น คุณยุทธ เล่าว่า นักโทษที่ถูกประหารวันนั้นภายนอกเขาดูเข้มแข็ง แต่พอเดินด้วยกันตนสำผัสได้ว่าเขาเริ่มสั่น ๆ นิด ๆ ส่วนความรู้สึกตนก็หวิว ๆ และสั่นมาก ๆ เหมือนกัน... นักโทษคนแรกของตนเป็นนักโทษคดีข่มขืนแล้วฆ่า เป็นชาวต่างด้าว พอเบิกตัวมาเสร็จเขาก็บอกกับหัวหน้าว่า "ผมขอใส่รองเท้าด้วยไปด้วยเถอะครับ ผมไม่อยากไปเท้าเปล่า เอารองเท้าใส่โลงให้ผมด้วย" จากนั้นตนก็พาเขาไปพิมพ์นิ้วมือ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นคนเดียวกันกับคำสั่งหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่า ถูกตัวแล้ว ก็จะอ่านคำสั่งประหารชีวิต และให้นักโทษเขียนพินัยกรรม พร้อมทั้งจดหมาย 


คุณยุทธ กล่าวต่อว่า หลาย ๆ คนเวลาดูหนังฉากประหารชีวิตก็จะพบว่า อาหารมื้อสุดท้ายเป็นอาหารที่นักโทษจะสามารถสั่งได้ตามใจชอบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นเพียงแค่อาหารธรรมดา ส่วนมากเวลาถามว่า อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เขาไม่ขออะไรเพิ่มเลยยกเว้นเหล้า 40 คน ทุกคนขอเหล้าหมด แต่จะขออาหารที่เขาชอบให้เราทำบุญไปให้ อย่างเช่น คนใต้ก็ขอแกงใต้ คนอีสานก็ขอลาบ ช่วยใส่บาตรทำบุญให้ด้วยประมาณนี้ 

เมื่อทานอาหารมื้อสุดท้ายเสร็จ ตนก็จะนำนักโทษไปหาพระ ให้พระเทศน์เป็นครั้งสุดท้าย และให้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ระยะทางในการเดินนั้นก็ไม่ไกลประมาณ 200 เมตรเท่านั้น ตอนหลังจากฟังเทศน์นักโทษทุกคนก็ดูเหมือนใจเย็นขึ้น แต่เมื่อเห็นป้าย "แดนประหาร" นักโทษก็เริ่มสั่นมากขึ้น จากนั้นตนก็นักโทษเข้าไปที่ "ศาลาเย็นใจ" เป็นศาลาแปดเหลี่ยม โดยจะให้นักโทษหยิบดอกไม้ ธูป เทียน พร้อมพนมมือ และหันหน้าไปทางวัด โดยตนจะบอกว่า หันหน้าเข้าหาพระ ให้คิดถึงแต่สิ่งดีงาม เสร็จแล้วตนก็จะผูกตาทันที แล้วพาไปยัง "สถานที่หมดทุกข์" หรือ "ห้องประหาร" นั่นเอง

ส่วนห้องประหารนั้น จะมีหลักประหารสองหลัก สำหรับนักโทษที่ตนพาไปนั้น ขั้นตอนต่อไปคือให้เขายืนหันหน้าให้กับหลักไม้กางเขน โดยผูกมือ ผูกข้อศอก เอว 5 จุด เสร็จแล้วก็กำหนดจุดยิง โดยเลื่อนจุดยิงให้ตรงกับขั้วหัวใจมากที่สุด พอตนแจ้งความพร้อมว่า เล็งตรงจุดแล้ว ก็จะมีคนสะบัดธงแดงลง เพชรฆาตก็จะเหนี่ยวไกทันที หลังจากสิ้นเสียงปืนก็จะได้ยินเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายครางออกมาซึ่งเป็นปกติ แต่ถ้านักโทษคนไหนครวญครางแบบเจ็บปวด เราก็ต้องเรียกแพทย์ให้เช็กว่า เขาเสียชีวิตหรือยัง ถ้ายังก็ต้องยิงซ้ำอีกทีหนึ่ง

วันนั้นยิงไปครั้งแรกก็ได้ยิงเสียงครวญคราง ไม่ต้องให้หมอมาเช็กก็รู้ว่า เขายังไม่เสียชีวิต จึงให้เพชรฆาตซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่พอซ้ำแล้ว นักโทษขายังสั่น หัวยังสั่นอยู่ เลยต้องยิงซ้ำเป็นครั้งที่ 3 เมื่อถามแพทย์ แพทย์บอกว่า หัวใจของนักโทษคนนี้ อยู่กึ่งไปทางขวา ยิงไปเลยไม่ตัดขั้วหัวใจทันที" คุณยุทธกล่าว

หลังจากที่นักโทษเสียชีวิตแล้ว คุณยุทธ กล่าวว่า ตนก็จะเอาถาดมารอรับแล้วเก็บศพทันที สำหรับความรู้สึกแรก ตนรู้สึกเสียวมาก รุ่นพี่เป็นคนให้ตนไปดึงผ้าปิดตาออก ตนยิ่งรู้สึกเสียวเข้าไปใหญ่ และหลังจากนั้นตนก็กินข้าวไม่ลง นอนไม่กลับ เหมือนกลิ่นคาวเลือดมันติดจมูกอยู่ตลอดเวลา ตนเลยไปหาพระ พระจึงได้ถามกับตนว่า ทหารเวลาฆ่าข้าศึกที่มารุกรานประเทศเขาผิดหรือไม่ เขาเป็นคนที่เหนี่ยวไกเองเลย เขาจะเป็นคนบาปหรือเปล่า ตนก็ตอบว่าไม่ พระจึงกล่าวกับตนว่า เช่นเดียวกันกับอาชีพของตน ถ้ามันเป็นอาชีพที่ตนต้องทำ ก็อย่าคิดอะไรมาก

สำหรับการประหารชีวิตนั้น นักโทษจะไม่รู้ว่าก่อนว่าวันไหนเขาจะโดนประหาร ทุกอย่างต้องเป็นความลับ เพราะกลัวว่าถ้านักโทษล่วงรู้ อาจจะเกิดเหตุคุ้มคลั่ง แหกกฏ ฆ่าตัวตาย ก็เป็นได้ เช่นเดียวกับตน ซึ่งตนก็รู้ว่าต้องทำหน้าที่นั้นในวันที่ต้องประหารเลย วันที่ตนต้องเป็นพี่เลี้ยงนักโทษนั้น ตอนเช้าก็ทำงานตามปกติ แต่ตอนบ่ายก็จะเข้าไปเตรียมอุปกรณ์ และไหว้พระ ไหว้ท้าวเวชสุวรรณ ซึ่งเป็นผู้คุมประตูนรกว่า ตนได้พาวิญญาณเขามาส่ง และขอให้ตนทำงานได้สำเร็จอย่างราบรื่นด้วย 

ถ้าถามว่ามีกรณีที่นักโทษเกิดอาการคุ้มคลั่งบ้างไหม คุณยุทธ ตอบว่า มีอยู่วันหนึ่งต้องประหารนักโทษยาเสพติดอยู่ 2 คน คนแรกไม่มีปัญหาอะไร ส่วนคนที่สอง ตอนเบิกตัวออกมาดูอาการเขาเหมือนลอย ๆ อีกทั้งเพชรฆาตที่ปลิดชีวิตของเขาในวันนั้นเป็นการทำงานครั้งแรก ทางเจ้าหน้าที่ความเห็นว่า ให้เพชรฆาตมือใหม่เข้าไปดูงานการประหารคนแรกก่อน เมื่อนักโทษคนที่ 2 นั่งรออยู่ พอเขาได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่คุยกันว่าเสียงครางน่ากลัว เขาก็เริ่มตาขวาง แต่ตนพาเขาเดินไปไหนเขาก็ยอมแต่โดยดี แต่พอไปถึงศาลาเย็นใจ เขาไม่ยอมให้ตนผูกตา พอจะผูกก็ปัดมือตนทิ้ง พยายามจะหันมากัดแขนตนตลอดเวลา ถ่มน้ำลายใส่ ซึ่งตนก็รีบผูก และตั้งเป้าเร็วมาก ด้วยความที่เขาไม่ยอมปิดตา เขาก็พยายามเอานิ้วโป้งเสยผ้าปิดตาขึ้น ซึ่งทำให้เขาเห็นคราบเลือดของนักโทษคนก่อนหน้าที่เพิ่งถูกประหารไป เลือดยังเหนียวติดอยู่ ทำให้นักโทษคนดังกล่าวโวยวาย แต่ทางเรารีบตั้งเป้า รีบยิง ซึ่งยิงเพียงครั้งเดียวเขาก็อยากเราไปด้วยดี 

คุณยุทธ เล่าต่อว่า นักโทษคนนี้มีคนเล่าให้ฟังว่า เฮี้ยนมาก ๆ ด้วย โดยเพื่อน ๆ บอกว่า มีคนเห็นชายคนหนึ่งเดินไปที่ห้องเก็บศพ เดินไปร้องไห้ไป แล้วก็เดินไปยังหน้าบ้านของเพชรฆาตคนที่ประหารเขา ตะโกนว่า "มึงมายิงกูทำไม" คนที่เห็นก็ตกใจหยิบเอาพระใส่คล้องคอให้ จากนั้นชายคนนั้นก็ตกใจ ถามว่าเขามาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร 

นอกจากนี้ คุณยุทธ ยังเล่าถึงการประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษให้ฟังว่า เป็นการประหารที่ตนไม่อยากทำเท่าไร เพราะตนเป็นคนกลัวเข็ม (หัวเราะ) วันนั้นตนต้องไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักโทษค้ายาบ้าจากภาคเหนือ เขาเป็นคนเข้มแข้งมากไม่มีร้องไห้ โทรศัพท์ไปหาแม่ ก็บอกว่า แม่จะร้องไห้ทำไม กลายเป็นคนจะตายไปปลอบคนเป็นเสียอย่างนั้น จากนั้นตนก็พาเขาไปฟังเทศน์ เมื่อเขาฟังเสร็จก็บอกกับตนว่า เขาขอจับชายผ้าเหลืองได้ไหม แล้วเขาก็คุกเข่าเอาหน้าผากจรดลงไปที่จีวรพระ จากนั้นน้ำตาของเขาก็ไหลพรั่งพรูออกมาตลอดเวลา 

เมื่อพาไปถึงห้องประหาร ซึ่งห้องประหารนั้นเป็นเตียงสีเขียวเหมือนเตียงคนป่วย แต่มีรูปร่างคล้าย ๆ กับไม้กางเขน พอนักโทษล้มตัวนอนก็ทำการล็อกหัว แขน และข้อศอก เสร็จแล้วก็จะปักเข็มฉีดยาเข้าไปที่หลังมือ มีตัวยา 3 อย่างด้วยกัน ตัวแรกเป็นยานอนหลับ ตัวที่สองเป็นยาคลายกล้ามเนื้อให้ระบบการหายใจหยุดทำงาน และตัวที่สามเป็นตัวที่ทำให้หัวใจหยุดเต้น พอเครื่องจับชีพจรฟ้องว่า ชีพจรของเขาหยุดเต้นแล้ว ก็เป็นอันว่าเสร็จขั้นตอน 

คุณยุทธ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในตอนนี้มีนักโทษประหารอยู่ประมาณ 700 คน เป็นนักโทษประหารเด็ดขาดร่วม 100 คน ซึ่งตนอยากจะบอกว่า การใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว เพราะพวกเขาต้องอยู่ในโลกมืด เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ไม่อยากจะต้องเป็นพี่เลี้ยงให้ใครอีก และอยากให้ทุกคนใช้สติในการดำรงชีวิต จะได้ไม่ต้องใช้ช่วงชีวิตสุดท้ายในห้องขัง ...

... สำหรับอาชีพ "พี่เลี้ยงนักโทษประหาร" ของคุณยุทธ ที่นำมาเล่าให้ฟังกันในครั้งนี้ ถือว่าเป็นอาชีพที่ต้องเสียสละเป็นอย่างมาก เพราะต้องอยู่ในภาวะกดดันและบีบคั้นหัวใจ เพื่อจะพิทักษ์ความถูกต้อง และดำรงอยู่ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมายต่อไป...


คลิป รายการวีไอพี : พี่เลี้ยงนักโทษประหาร 1/4


คลิป รายการวีไอพี : พี่เลี้ยงนักโทษประหาร 2/4


คลิป รายการวีไอพี : พี่เลี้ยงนักโทษประหาร 3/4 


คลิป รายการวีไอพี : พี่เลี้ยงนักโทษประหาร 4/4

ที่มาจาก http://www.kapook.com
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย sangying : เมื่อวานนี้ เมื่อ 06:08 PM 
Credit: กระปุกดอดคอม
5 ก.พ. 55 เวลา 06:25 2,226 2 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...