คนที่ชอบใส่หูฟังเวลาเดินต้องระวังตัวให้ดี เพราะงานวิจัยล่าสุดที่สหรัฐอเมริการะบุว่า ทุกวันนี้มีคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุเพราะใส่หูฟังเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวในเวลาเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้น
ริชาร์ด ลิกเช่นสไตน์ แห่งโรงพยาบาลเด็กมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ บัลติมอร์ นักวิจัยได้ศึกษาข้อมูลของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับคนเดินถนนที่ชอบฟังไอพอด เครื่องเล่น MP3 หรือเครื่องเล่นเพลงอื่นๆ ยกเว้นโทรศัพท์มือถือ
นักวิจัยพบว่า อุบัติเหตุลักษณะดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 16 ครั้งในปี 2004 เป็น 47 ครั้งในปี 2011 จากอุบัติเหตุลักษณะนี้ทั้งหมด 116 ครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว
"ทุกคนต่างก็รู้ดีถึงอันตรายของการใช้โทรศัพท์หรือส่งข้อความในขณะขับรถ แต่ผมมองว่าทุกวันนี้วัยรุ่นเริ่มจะเสียสมาธิมากขึ้นจากเครื่องเล่นเพลงสมัยใหม่และหูฟังที่เสียบใส่หูอยู่ตลอดเวลา" ลิกเช่นสไตน์กล่าว
"มันไม่ดีตรงที่ว่า ในขณะที่เราสร้างอุปกรณ์ที่น่าใช้ขึ้นไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการเสียงสมาธิและไม่ได้ยินเสียงอื่นเลยนั้นมีเพิ่มขึ้น"
ในอุบัติเหตุเหล่านี้ กว่าครึ่งเกี่ยวข้องกับคนเดินถนนที่ลงจากรถไฟ และสองในสามของผู้เคราะห์ร้ายกลุ่มนี้เป็นชายที่อายุไม่เกิน 30 ปี
นักวิจัยได้ตีพิมพ์ผลการค้นคว้านี้ในวารสารวิชาการ Injury Prevention แล้ว โดยเตือนว่า "การตาบอดโดยไม่ตั้งใจ" ในขณะสวมใส่หูฟังหมายถึงสมาธิที่ลดทอนลงไปด้วย สมองก็จะเสียทรัพยากรที่จะไปประมวลผลสิ่งกระตุ้นภายนอกไปด้วย
"ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณวิ่งหรือเดินไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย คุณจะต้องแบ่งพื้นที่ในสมองของคุณส่วนหนึ่งไปกับการฟังเพลง และส่วนที่เหลือก็ยกให้กิจกรรมที่คุณกำลังฟัง คุณทำสองอย่างนี้ไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก" ลิกเช่นสไตน์ยืนยัน
นักวิจัยยังได้เสริมด้วยว่า อุบัติเหตุยังมีโอกาสจะเกิดขึ้นมากหากว่าผู้ฟังยิ่งเปิดเพลงเสียงดัง นั่นคือ ความสามารถในการได้ยินเสียงรถไฟหรือเสียงแตรจากรถคันอื่นนั้นจะน้อยลงไปเพราะเจ้าหูฟังพกพานี่เอง
ทางด้าน ดร.บรูซ คอร์เบน นักวิจัยอาวุโสที่ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุ มหาวิทยาลัยโมนาช ออสเตรเลียกล่าวว่า นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
"เราก็เห็นหลักฐานเพียงพอแล้วที่จะบอกว่าเราควรจะมองปัญหานี้ให้ถูกทางมากกว่านี้" ดร.คอร์เบนกล่าว และยังเสริมด้วยว่า วัยรุ่นโดยเฉพาะเด็กมัธยมและวัยโตมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่นมาก
"ถ้าคุณใส่หูฟังขณะเดินข้ามถนน ผมคุณว่าคุณต้องระวังตัวให้มากๆเลย"
แปลจาก: http://www.abc.net.au/science/articles/2012/01/17/3409904.htm