อาชีพที่หญิงใดก็ตามยึดเป็นช่องทางหาเลี้ยงชีพ ย่อมหนีไม่พ้นการถูกตราหน้าจากสังคมไทยว่า "ชั่ว" ทว่า แม้จะเป็นอาชีพที่ชั่วอย่างไร กลับยังมี สาวน้อย-สาวใหญ่ หลั่งไหลเข้าสู่ "วงจรเปื้อนน้ำกาม" นี้อย่างไม่ขาดสาย หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอะไรรออยู่เบื้องหน้า แต่เหตุใดผู้หญิงเหล่านี้จึงยอมพลิกผันตัวเองสู่การเป็น "เครื่องบำบัดความใคร่ชั่วคราว"
"จำยอม-จำใจ-จำเป็น...ฯลฯ" เหตุผลใดกันแน่ที่ทำให้พวกเธอยอม "พลีกาย-ขายพรหมจรรย์ แลกกับ เงิน"!!!
"ฐานะทางบ้านเมื่อก่อนจัดว่าดีมาก เรียกว่าอยากกินอยากใช้อะไรก็มี แต่ช่วงฟองสบู่แตกติดหนี้อยู่ 20 ล้าน ช่วงนั้นมันเหมือนเรารับไม่ได้ เพราะเราเคยรวยอยู่ดีๆก็เป็นอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียวที่บ้านมีปัญหาครอบครัวก็เลยเตลิดหนีออกจาก บ้านตั้งแต่อายุ 18 ปี บังเอิญมีคนเลี้ยง เพื่อนแนะนำให้ เป็นคนฮ่องกง ส่งเงินให้ใช้เดือนละแสนห้า หรือสองแสนแล้วแต่จะขอ แต่พออายุ 20 ปีก็เลิกกับคนเลี้ยง จึงเริ่มทำงานหาเลี้ยงตัวเอง"
"น้ำ" สาวไซด์ไลน์ เปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ที่เดินเข้าสู่การ "ขายตัว" พร้อมกับยืนยันว่า ไม่ใช่ เด็กใจแตก และกล้าพูดได้ว่าผู้หญิงที่ทำงานตรงนี้ไม่ใช่ว่า 100% เป็นเด็กใจแตก "น้ำ" บอก อีกว่า หลังไม่มีคนเลี้ยง ก็เริ่มรับงานไซด์ไลน์ โดยมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ติดต่อให้ มาอยู่จุดนี้คิดว่ามันไม่เสียหายอะไร และอย่างน้อย ๆ คิดว่าเราก็ไม่เดือดร้อนใครและยังมีเงินส่งให้พ่อแม่เดือนละเยอะ ๆ เงินที่ได้น้ำให้ที่บ้านเดือนละ 50,000 บาท ผ่อนรถเดือนละ 30,000 บาท ค่าเช่าคอนโดเดือนละ 20,000 บาท และตอนนี้กำลังปลูกบ้านอยู่ด้วย
"น้ำ" กล่าว อีกว่า ถ้าถามว่าเสียใจกับชีวิตที่ผ่านมาไหม ก็เคยคิดเสียใจว่าทำไมเราต้องมีชีวิตเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องทำอาชีพนี้ แต่คิดอีกทีว่าถ้าเราไม่ทำตรงนี้คงไม่มีปัญญามีทุกอย่าง สู้เรากัดฟันทำตอนนี้ไปก่อน จนเราสร้างอนาคตได้ มีบ้าน มีรถ มีธุรกิจ ชีวิตเราจะต้องการอะไรอีก รถเราก็มี บ้านเราก็มี ชีวิตไม่ต้องการอะไรแล้ว ตอนนี้เหลืออย่างเดียว คือ อยากมีเงินเก็บ
"เรื่องศักดิ์ศรี ตรงนั้นยอมรับ แต่ศักดิ์ศรีมันช่วยให้น้ำมีธุรกิจร่ำรวยได้ไหม น้ำถามว่าถ้าเรียนจบไป และเลิกทำงานตรงนี้น้ำไปเปิดธุรกิจ และแปลงร่างกลายเป็นอีกคน มีใครจำเราได้ไหม ไม่มีเลย เชื่อไหม" ภาพสะท้อนจากการสนทนากับ "น้ำ" แสดงให้เห็นว่าหญิงสาวหลายต่อหลายคนที่ยอมทิ้งคำว่า "ศักดิ์ศรี" ก้าว เข้ามาสู่แวดวงนี้ เพราะเห็นถึงความง่ายของการได้เงินจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว โดยหวังว่าเมื่อมีเงินมากตามต้องการ จะทิ้งทุกอย่างให้เป็นความหลัง "ตา"อดีตนักศึกษาสาวไซด์ไลน์ ก็เคยมีความคิดเช่น แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างกลับตรงกันข้าม!!!
"ส่วนมากผู้หญิงที่มาทำงานตรง นี้จะถูกชักชวนจากเพื่อนที่ทำอยู่ก่อน ตอนเรียนตาเป็นคนต่างจังหวัด พักอยู่กอใกล้ๆมหาวิทยาลัย ก็มีเที่ยวมีเล่นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป แต่ไม่ใช่เด็กใจแตก จนมีเพื่อนมาชวน เพราะรู้ว่าฐานะของเราไม่ค่อยดี เราเห็นเพื่อนมีรถขับ มีเงินใช้สบาย ๆ อยากมีบ้าง จึงมาทำงานนี้" ตา เล่าถึงเหตุที่เลือก "พลีกายแลกเงิน" ซึ่ง นอกจากอยากทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความลำบากแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นคือมีปัญหาเลิกกับแฟน เธอเสียใจมาก เพราะทั้งกายและใจ ตกเป็นของเขาแล้ว
"ตอนนั้นก็คิดว่าเราเสียไปแล้ว พอดีเพื่อนมาชวน คิดว่าจะทำสักพัก แค่เก็บเงินเปิดร้านขายขนมเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง จึงตกลง โดยเริ่มจากรับงานนอก แต่มักพบปัญหาโดนชักเปอร์เซ็นต์มากเกินไป ส่วนมากเอเย่นต์ คือ เพื่อนที่เป็นคนรับงานให้ หรือร้านเสริมสวยตามหอพักนักศึกษา ซึ่งจะรู้กันภายในว่าเบื้องหลังเป็นธุรกิจ นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย เพราะต้องไปกับแขก 2 ต่อ 2 จึงเปลี่ยนมารับงานผ่านอาบอบนวด รายได้ก็ตกเดือนละเป็นแสน"
เงินจาก การทำอาชีพนี้ทำให้ชีวิตตาเปลี่ยนไป เธอมีรถมีเสื้อผ้าชุดละเป็นหมื่น ขณะที่ความสน ใจในเรื่องเรียน ตกลงไป จนกระทั่งตัดสินใจหยุดเรียนชั่วคราว ซึ่งในที่สุดเธอก็ไม่มีโอกาสกลับไปเรียนอีกเลย "ตอนนั้นคิดว่าน้ำ ขึ้นให้รีบตักเลยดรอปเรียน คิดว่าได้เงินสักก้อนค่อยกลับไปเรียนก็ได้ แต่พอทำไปสักพักมันเหมือนเราต้องอยู่ในลักษณะแบบนี้ เงินได้เยอะก็มีเรื่องต้องใช้เยอะ" ตา เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมา
ด้าน "เมย์" อีกหนึ่ง "สาวนั่งตู้" เล่า ให้ฟังว่าเธอเคยทำงานบาร์มาก่อนเมื่อตอนแรกรุ่น รู้จักกับชาวญี่ปุ่นคบเป็นแฟนกัน ต่อมาจึงซื้อบ้านให้เธออยู่ แล้วก็หายตัวไป เขาบอกว่ากลับไปทำธุร กิจ แต่ก็หายไปเลย เมย์กลัวบ้านหลุดเลยกลับไปทำงานแล้วก็ส่งน้องด้วย ตอนนี้บ้านอีก 2 งวดก็หมด แล้ว
ขณะที่ อดีตโสเภณี นางหนึ่ง บอกเล่าเรื่องราวผ่าน "สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ" ว่า ดิฉันทำงานอาบอบนวด แห่งหนึ่งใน กทม. วันหนึ่งรับแขกไม่ต่ำกว่า 5 คนขึ้นไป ผู้ที่มาใช้บริการไม่เลือกวัย มีทั้งสุภาพ หยาบคายและนักบุญ ครั้งหนึ่งเคยถูก "ขี้เมาลวนลามไม่ใส่ถุงยางอนามัย" แขกพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแขกของเจ้าของอาบอบนวด ทำให้เราไม่กล้าฟ้อง ต้องก้มหน้าทำด้วยความขมขื่น
ไม่ ต้องบอกนะว่าทำไมไม่เลือกเดินทางอื่น มันไม่พอกินค่ะ แล้วดิฉันก็เคยโดนข่มขืนหมู่มาแล้ว ไม่มีใครตามคดีช่วยดิฉันได้ เลยคิดประชดตัวเองด้วยการทำงานนี้ซะเลย แต่ก็ไม่ได้สบายดังที่คิดนัก นั่นเพราะหลังจากนั้นเธอผู้นี้ติด "โรคร้ายแรง"!!!
"อดีตโสเภณี" ผู้นี้ บอกว่า ต่อมามีการตรวจโรค ดิฉันติด "เอดส์" อยู่ ในขั้นแรกๆ จึงต้องหยุดงานและรักษาตัวเรื่อยมา เงินสะสมก็ร่อยหรอลงไป จึงคิดเรียนและหางานทำ แต่มีแขกบางคนไม่รู้ แวะเวียนมาใช้บริการที่ห้องบ่อย ๆ มีรายได้จากการขายตัวเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ก็อยู่ได้ แต่แขกพิเศษที่แวะเวียนมา จะทำตัวสนิทสนมมากเกินไป ไม่ยอมสวมถุงยาง ดิฉันก็ไม่กล้าบอกว่าเป็นอะไร ในเมื่อห้ามไม่ฟังก็ต้องยอมให้แต่โดยดี
"บาง คนในระยะที่ทำงานนวดอยู่ด้วยกัน เขาเป็นโรคแล้วก็เปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อย ๆ หากแขกต้องการไม่สวมถุงยาง เขาจะตามใจทันที เขาสมน้ำหน้าที่ไม่ระวังเอง ทุกคนที่เที่ยวต้องระวัง นี่เรื่องจริงทีเดียว" เธอเล่าต่อ ไปอีกว่า ในระยะหลัง ๆ คุณภาพชีวิตของดิฉันดีขึ้นจนเกือบปกติ รับแขกได้มากและแขกก็สวมถุงยางทุกคนทุกครั้ง ยกเว้น แขกใหม่ที่เพื่อนแนะนำให้ ต่อมาแขกใหม่ผู้นี้นัดดิฉันไปเที่ยวที่ระยอง บอกว่าจะมีเพื่อนอีก 3 คนไปด้วย ให้ราคาดี ดิฉันจึงไป เขาเมามายและ หื่น มากๆ ร่วมกับดิฉันนัวเนียไปหมด พร้อมกัน 4 คน ที่สำคัญบังคับดิฉันโดยไม่สวมถุงยางอนามัย เขานอนพร้อมๆกับดิฉันตลอด 3 วัน ดิฉันน่ะคุ้มมาก แต่พวกเขาจะคุ้มหรือไม่ฉันรู้ดี และคิดว่าทุกคนต้องติดโรคจากดิฉันแน่นอน
"อยากขอ เตือนนักเที่ยวทั้งหลาย เมื่อเที่ยวผู้หญิงเขาห้ามอะไรต้องเชื่อ เพราะว่าเขารู้ตัวเองดี จงตระหนักว่าผู้หญิงทุก ๆ คนที่คุณไปใช้บริการนั่น กาหัวไว้ก่อนเลยว่าเธอเป็นเอดส์ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ป้องกันตัว แต่เป็นเพราะผู้ชายบังคับเขา ดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่เขาได้แก้แค้นผู้ชายโดยไม่ตั้งใจ ติดโรคไปสู่เมียที่บ้าน มีลูกพลอยติดโรคไปด้วย ชีวิตที่เคยเป็นจะเป็น..... นรก!!!