ภาพประทับใจ...ตราไว้ในดวงจิต "เมื่อฉันพบ พระเจ้าอยู่หัว"

 

 

 

 

 

ภาพประทับใจ...ตราไว้ในดวงจิต

"เมื่อฉันพบ พระเจ้าอยู่หัว"

 

ด้วยความที่เกิด และเติบโตอยู่ในกรุงเทพฯ ชั้นใน ดังนั้น จึงทำให้ฉันได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์บ่อยครั้ง แต่การเฝ้ารับเสด็จ มิใช่เป็นการเข้าเฝ้าภายในพระบรมมหาราชวังแต่อย่างใด แต่เป็นการเข้าเฝ้าตามถนนหนทาง อันเป็นทางพระราชดำเนินโดยเสด็จทางสถลมารค

เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ด้วยพระพลานามัยที่แข็งแรง สมบูรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมักจะเสด็จไปประกอบพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าถิ่นฐานย่านนั้นจะทุรกันดารเพียงใด พระองค์ก็มิทรงย่อท้อที่จะเสด็จไปทอดพระเนตรประชาชนของพระองค์

ทุกครั้งที่เราเห็นตำรวจ ปิดเส้นทางที่จะทรงเสด็จพระราชดำเนินครั้งใด เราจะต้องนั่งลงบนฟุธบาตด้วยความเต็มใจ รอจนขบวนเสด็จผ่านมา ทุกครั้งเราจะพยายามจ้องมองเข้าไปในรถโรลส์-รอยซ์ แฟนทอม ซิกซ์ (VI) อันเป็นรถยนต์ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงเพื่อที่จะได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ด้วยกฏระเบียบที่เคร่งครัด การรักษาระดับความเร็วของรถยนต์พระที่นั่ง อันเป็นมาตรการอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์พระมหากษัตริย์ของประเทศ ทำให้บ่อยครั้งที่เราทำได้เพียงมองรถยนต์พระที่นั่งสีเหลือง ที่มีธงครุฑพล่าประดับอยู่ อันเป็นที่รู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาในรถยนต์พระที่นั่งคันนั้น

เวลาผ่านไปนานหลายสิบปีฉันแทบจะลืมเลื่อนบรรยากาศการเข้าเฝ้ารับเสด็จตามท้องถนนเสียแล้ว เหตุด้วยอาชีพการงาน วิถีชีวิต ทำให้แทบไม่มีโอกาสผ่านไปในเส้นทางทรงเสด็จ

จนวันหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงของการพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระองค์ท่าน เพื่อนสาวคนหนึ่งซึ่งมีที่พำนักอาศัยอยู่ชานเมืองย่านบางจากโทรมานัดหมายกันออกไปเที่ยวชมงานพระราชพิธีฯ รวมถึงร่วมรับเสด็จพระองค์ท่าน ซึ่งจะพระราชดำเนินด้วยรถยนต์พระที่นั่งจากพระบรมมหาราชวังมาตามถนนราชดำเนินเพื่อกลับเข้าประทับ ณ พระที่นั่งจิตลดารโหฐาน

เพื่อนของฉันดูตื่นเต้นและปิติกับการที่จะได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก ในขณะที่ความรู้สึกในขณะนั้น เกิดความสงสัยว่าอะไรจะขนาดนั้น เธอนัดหมายฉันมายังบริเวณหน้าวัดเบญจมบพิตรก่อนเวลาเสด็จถึง 2 ชั่วโมง และนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมลุกไปไหน ด้วยกลัวว่าจะเสียพื้นที่อันเหมาะเจาะที่เธอได้จับจองไว้ที่ริมฟุธบาตฝั่งสนามเสือป่า

ฉันถามเธอประสาเพื่อนถามเพื่อนให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า

"มึงจะตื่นเต้นไปไหนเนี่ย แค่ขบวนเสด็จ จะเห็นพระองค์ท่านหรือเปล่ายังไม่รู้เลย"

เธอตอบกลับมาว่า "ก็กูไม่เคยเห็นนี่ กูอยากเห็นพระองค์ท่าน"

"กูเห็นบ่อยไป" ฉันตอบไปตามจริง

"ใช่สิ มึงมันคนในเมืองมีโอกาสได้เห็นในหลวงบ่อย ๆ แต่พวกกูน่ะคนนอกเมืองโอกาสที่จะได้เข้าเฝ้านั้นแทบจะไม่มี เพราะพระองค์ท่านเสด็จไปแต่ในที่ทุรกันดาร นี่ถือเป็นโอกาสของกูแล้วที่จะได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่าน"

เธอพูดด้วยใบหน้าเปื่ยมศรัทธาและมั่นคงในเจตนา จนฉันรู้สึกทึ้งในตัวเพื่อนสาว

และแล้วพระองค์ท่านก็ไม่ได้ทำให้ผู้ที่มาเข้าเฝ้ารอรับเสด็จต้องผิดหวัง เพราะขบวนเสด็จของพระองค์ท่านนั้น เรียกได้ว่า เคลื่อนช้ากว่าที่เคยเห็นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเลี้ยวจากถนนราชดำเนินเข้าสู่ถนนด้านข้างสนามเสือป่าที่เรานั่งกันอยู่ หน้าต่างรถยนต์พระที่นั่งถูกเปิดออก พระองค์ท่านเสด็จพระทับเคียงข้างด้วยพระบรมราชินี ทรงโบกพระหัตถ์ไหวน้อย ๆ พระพักตร์แย้มสรวลให้กับพสกนิกรที่มาเข้าเฝ้ารับเสด็จเต็มทั้งสองฟากข้างทาง

เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านไป ฉันหันกลับมายังเพื่อนสาวที่นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ด้านข้าง เธอปลื้มปิติเป็นอย่างมาก และเฝ้าพรรณาถึงการรับเสด็จครั้งนี้ว่า จะติดตรึงอยู่ในใจของเธอตลอดไป สิ่งนั้นทำให้ฉันหวลคิดถึงครั้งแรกที่ฉันได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด

ครั้งหนึ่งคือในงานพระราชพิธี พระบรมศพ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้วยในขณะนั้นบริษัทฯ ที่งานอยู่ด้วยได้มีโอกาสได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในงานพระราชพิธีพระบรมศพฯ ดังนั้น ในฐานะพนักงานของบริษัทฯ จึงได้เข้าร่วมสักการะและเข้าร่วมฟังพระอธิธรรมหน้าพระบรมศพ

ในคืนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเสด็จเป็นองค์ประธานเพื่อประกอบพระราชพิธี พระบรมศพฯ ภายหลังจากที่เสร็จสิ้นพระราชพิธีทำให้ได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด ไม่น่าเชื่อพระองค์ท่านอยู่ห่างจากที่ฉันนั่งรับเสด็จอยู่ไม่ถึง 2 เมตร แทบไม่กล้าจะเหงยมองพระพักตร์

พระพักตร์เรียบเฉยสลับกับการแย้มสรวลน้อย ๆ พระราชดำเนินดำรัสทักทายพสกนิกรที่เข้ามาร่วมพระราชพิธี พระบรมศพฯ อย่างใกล้ชิด ความปิติบังเกิดขึ้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก จนกระทั้งพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป แต่ฉันยังคงมองตามฉลองพระองค์ไปจนลับตา แม้นจะไม่เท่าเพื่อนสาวของฉัน แต่ฉันเข้าใจเธอได้ดี ถึงความรู้สึกปิตินั้น

เราเดินกันไปตามเส้นทางถนนราชดำเนินฉันเล่าให้เธอฟังถึงการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรก ที่ประทับใจฉันที่สุด นั่นคือ การเสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพิธีถวายสักการะบวงสรวงสมเด็จพระบุรหมหากษัตริยาธีราชเจ้า เนื่องในการพระราชพิธีสมโภชนกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี  ด้วยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค

ฉันจำได้ว่าในวัยเด็กเพียงเท่านั้น ฉันเฝ้ามองดูการฝึกซ้อมขบวนพยุหยาตรทางชลมารถ ด้วยความสนุกสนาน หนุ่ม ๆ ทหารเรือที่เข้ารับการฝึกซ้อมพายเรือที่ใช้ในพระราชพิธีเข้ามาผูกกับหลักที่ทางกองทัพเรือได้นำมาปักไว้เป็นระยะ มีแม่ค้ามากมายพากันพายเรือมาขายอาหาร และขนมให้กับทหารเหล่านั้น เสียงพูดคุยสนุกสนาน เต็มไปด้วยอัธยาศรัยไมตรี และยิ้มแย้มแจ่มใส ผิดกับเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นซ้อมฝีพายทุก ๆ ฝีพายมีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ทุกจังหวะแห่งการจ้วงพายจึงสม่ำเสมอสวยงาม นั่นเพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้น หวังจะให้พิธีดังกล่าว เป็นการเฉลิมพระเกียรติแห่งองค์ประมุขอันเป็นที่รักและเคารพยิ่ง

ในการพระราชพิธีอันสวยงาม พรักพร้อม ตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาในปี พ.ศ. 2525 นั่นมิได้ถูกกั้นด้วยคันกั้นน้ำ เฉกเช่นปัจจุบัน การขบวนพยุหยาตรทางชลมารคจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยร่องน้ำ และราวกับจะเป็นจังหวะเหมาะที่ร่องน้ำของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จะถูกวกเข้ามาใกล้ตลิ่ง โดยเฉพาะที่บริเวณคุ้งน้ำหน้าบ้านของฉันเป็นอย่างมาก

ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคียงข้างด้วยพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนารถ และพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฏราชกุมารและ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จประทับบัลลังก์กันยา เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ มาพร้อมเพรียงกัน เสียงกาพย์เห่เรือ พระราชพิธีประโคมดังเป็นจังหวะการจ้วงฝีพาย

เรือพระที่นั่งหักโค้งน้อย ๆ เพื่อเปลี่ยนร่องน้ำเข้ามาด้านใน เราทุกคนนั่งหมอบต่ำอยู่ริมน้ำ พร้อมด้วยพนมมือรับเสด็จ เสียงกล่าวสรรเสริญ "ทรงพระเจริญ" ดังไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ นั่นคือ ภาพแห่งการเข้ารับเสด็จครั้งแรก และเป็นภาพที่ยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉันมาจนปัจจุบัน แม้นว่าภาพถ่ายในครั้งนั้น จะเสียหายไปกับการเวลา แต่ภาพที่ยังติดตรึงอยู่ในใจ กลับไม่มีวันจางหายไปพร้อมกัน ภาพนั้นจึงเป็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในดวงใจฉันตลอดกาล

ขอขอบคุณ Blogger Joseph ที่ให้เกียรติมอบ Tag ดี ๆ นี้มาให้

ขอขอบคุณ Blogger  Blogger สายลมที่ผ่านมา

ข้อคิด กำลังใจ จากพ่อ.....
http://www.oknation.net/blog/Joseph/2012/01/19/entry-1

http://www.oknation.net/blog/swongviggit/2012/01/23/entry-2

 

Credit: http://www.oknation.net/blog/swongviggit/2012/01/23/entry-2
23 ม.ค. 55 เวลา 15:06 11,958 16 170
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...