เมื่อครั้งที่ "เช กูวารา" ถูกยิงตายในวันที่ 9 ตุลาคม 2510 ความฝันที่จะปฏิวัติผืนดินอเมริกาใต้เข้าสู่ระบอบสังคมนิยมก็สิ้นสุดลง
"ตอนเห็นสภาพของเขาตอนตาย เราแทบนึกไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่นอนตายอยู่ตรงหน้าคนนี้เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในละตินอเมริกามาก่อน" ริชาร์ด ก็อตต์ นักข่าวของ เดอะ การ์เดียน หนึ่งในนักข่าวเพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสเข้าไปทำข่าวการประหาร "เช" ในโบลิเวีย กล่าว และว่า "แต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าอุดมการณ์ของเขาคงไม่ได้ตายจากไปด้วยหรอก"
เกือบ 40 ปีที่เสียชีวิต แต่วันนี้ เช กูวาร่า มีสถานะยิ่งกว่า "วีรบุรุษ" เพราะผู้คนมากมายหลายล้านคนทั่วโลกยึดถือเขาเป็นนักสู้ และแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่สำหรับการต่อต้านการกดขี่และไม่เป็นธรรมทุกรูปแบบ
จึงไม่แปลกที่รูปภาพใบหน้าของเขาปรากฏอยู่ตามแผ่นสติ๊กเกอร์ และเสื้อยืดในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ในแดนดินถิ่นประชาธิปไตย
Ernesto Che Guevara (เช กูวารา) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1928 ที่เมือง โรซาริโอ (Rosario) อำเภอเล็ก ๆของกรุงบัวโนส ไอเรส (Buenos Aires) ประเทศอาร์เจนตินา เป็นบุตรของ Ernesto Guevara Lynch และ Celia de la Serna Llosa
เช เป็นโรคหอบหืด (Asthma) ตอนเอายุ 2 ขวบ และกลายเป็นโรคประจำตัว จึงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขา จนเชตั้งใจว่าจะเรียนแพทย์เพื่อหาทางรักษามันให้หายให้ได้
และในปี 1947 เชก็ตัดสินใจเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Universidad Nacional de Cordoba โดยเน้นวิชาการด้านผิวหนัง (Lepraleiden (โรคเรื้อน)) ขณะที่ครอบครัวตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง Alta Gracia ใกล้กับเมือง Cordoba ที่เขาเรียนอยู่ เพราะเป็นเมืองที่มีอากาศดีต่อสุขภาพของเช
ภาพจากภาพยนตร์ The Motorcycle Diaries
ในช่วงเป็นนักศึกษา เชเล่นกีฬาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น รักบี้ เบสบอล ปีนเขา ฯลฯ เพื่อเอาชนะโรคหอบหืด แต่ก็ไม่สำเร็จ และในช่วงปี 1951 เชและเพื่อนชื่อ อัลแบร์โต กรานาโด (Alberto Granado) ได้เดินทางท่องเที่ยวทั่วอเมริกาใต้ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์ และชีวิตเขาตอนนี้ ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง "The Motorcycle Diaries"
การเดินทางครั้งนี้ นอกจากทำให้เชโด่งดังแล้ว ยังเป็นการเดินทางที่มีผลต่อแนวคิดครั้งยิ่งใหญ่ จนเขากลายเป็นนักปฏิวัติ ผู้ตั้งใจอุทิศชีวิต และเลือดเนื้อเพื่อคนชั้นล่างของสังคมในเวลาต่อมาด้วย
เพราะการเดินทางผ่านประเทศ โบลิเวีย ชิลี และเวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสาในระยะเวลาสั้นๆที่เปรู ทำให้เชเห็นภาพความยากจนของชาวบ้านที่โดนกดขี่จากนักการเมือง และนักธุรกิจ ตามระบบ"ทุนนิยม"
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อเชมากก็คือมาร์กซิสต์ (Marxismus) ทำให้เขาตัดสินใจว่าจะอุทิศตนและทำทุกอย่างเพื่อปลดปล่อยประชาชนชาวอเมริกา ใต้ โดยรู้ว่าการทำงานเป็นแพทย์คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือผลักดันให้เกิดภาพที่ เขาอยากเห็นได้ ดังนั้น ในปี 1953 หลังเรียนจบแพทย์ เชเลือกไปทำงานในประเทศกัวเตมาลา เพื่อเข้าร่วมกับคณะรัฐประหาร ที่ต่อต้านการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
ต่อมา เชย้ายไปทำงานที่เม็กซิโก และที่นี่เอง ที่เขาได้พบกับ ฟิเดล คาสโต (Fidel Casto) นักปฎิวัติหนุ่มชาวคิวบา (ปัจจุบันเป็นผู้นำประเทศคิวบา) ในเดือนกรกฎาคม 1955 ซึ่งคาสโตร ผู้นำกลุ่ม Moncadistas ที่เดินทางไปเม็กซิโกเพื่อลี้ภัยทางการเมือง หลังเพิ่งพ้นโทษ ในข้อหาหัวหน้ากบฎจากปฏิบัติการโค่นล้มอำนาจประธานาธิบดีบาติสตา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม1953
ช่วงนั้น คาสโตกำลังรวบรวมกำลังและแอบฝึกกองกำลังติดอาวุธกับเพื่อเตรียมกลับไปปฏิวัติ นำประชาธิปไตยสู่ประเทศคิวบา
และเช...คือหนึ่งในผู้เข้าร่วมกองโจรกับคาสโต โดยทำหน้าที่เป็นหน่วยแพทย์ โดยมีชื่อสมาชิกว่า Che
25 พฤศจิกายน 1956 กลุ่มคณะปฏิวัติรวมทั้งสิ้น 82 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนต์ขนาดเล็ก ชื่อ Granma จากเมือง Tuxpan ประเทศเม็กซิโก มุ่งหน้าสู่คิวบา แต่เนื่องจากเดินทางในคืนเดือนมืด และต้องแรมเรืออยู่ในทะเลถึง 7 คืน ทำให้เมื่อขึ้นฝั่งที่คิวบาในวันที่ 2 ธันวาคม ผิดจุดนัดหมาย และถูกกองกำลังปฏิวัติถูกโจมตีโดยกองทัพของประธานาธิบดีบาติสตาถล่มจนแตก พ่ายที่เทือกเขาในเขตเมือง Sierra Maestra จนเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 12 คน เท่านั้น
หนึ่งในนั้นก็คือ เช กูวาร่า !!!
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น..ทำให้เชเปลี่ยนความคิดในต่อสู้ โดยเปลี่ยนสถานะจาก"แพทย์"ที่จับเข็มฉีดยา มาเป็น"นักรบ"ที่ต้องจับปืนต่อสู้กับศัตรู และความกล้าหาญบวกกับการตัดสินใจที่เด้ดขาดมีไหวพริบ ทำให้เชกลายเป็นทหารที่มีความสำคัญต่อกลุ่ม
ในปลายปี 1956 เชได้รับการยกฐานะขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการ กองกำลังทหารปฏิวัติช่วงที่สอง (Comandante der Rebellenarmee) และในวันที่ 21 กรกฎาคม 1957 เขายังได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้บัญชาการกลุ่ม II Kolonne ด้วย
1 มกราคม 1959 กลุ่มของเชสามารถยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จจากประธานาธิบดีบาติสตา ได้ที่เมือง Santa Clara (ซานตาครูส) และผู้นำคิวบาต้องหลบหนีออกนอกประเทศ
ในช่วงนั้น นายทุนสหรัฐมองการณ์ไกลจากความสัมพันธ์ที่ดีกับคาสโต โดยหวังจะเข้าไปกอบโกยในคิวบา แต่คาสโตกลับเลือกขอรับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต
ปี 1959 เชได้รับสัญชาติเป็นชาวคิวบา เพื่อเป็นการขอบคุณในฐานะเป็นผู้ร่วมโค่นล้มบาติสตาลงได้
ช่วงนั้น เช ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และเป็นผู้อำนวยการ ธนาคารแห่งชาติของคิวบา ในต้นปี 1960 รวมทั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมในปี 1961
แต่สงครามของเช ยังไม่จบ !!!
เพราะเมื่อปฏิวัติสำเร็จ รัฐบาลคาสโต ได้ยึดที่ดินของนักธุรกิจทั้งหลายมาแปลงให้เป็นทรัพย์สิน แล้วแจกจ่ายให้ชาวคิวบา โดยให้ผลตอบแทนนายทุนเจ้าของที่เพียงเล็กน้อย ทำให้สหรัฐตัดสินใจหนุนบาติสตา ให้กลับไปช่วงชิงอำนาจคืนอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ
ในช่วงเวลาที่เป็นผู้อำนวยการธนาคารชาติ เชกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในเรื่อง"เศรษฐศาสตร์การเมือง" และกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยอาศัยเรื่องคุณธรรมจริยธรรมเป็นพื้นฐาน รวมทั้งเรียกร้องให้คิวบาเลิกพึ่งพาความช่วยเหลือจากประเทศสหรัฐอเมริกาทุกๆ ด้าน พร้อมให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ฟุ่มเฟือย สิ้นเปลือง โดยเชเรียกโปรเจคชิ้นนี้ว่า “New Man”
แม้แนวคิดนี้จะถูกโต้แย้ง แต่เชได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องที่ทำได้จริง !!!
เชทำงานด้วยความสมัครใจ และปฏิเสธที่จะรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ จนรู้กันดีว่า หากภรรยาจำเป็นต้องใช้รถประจำตำแหน่ง เชก็จะจ่ายเงินเป็นค่าน้ำมันรถเอง เพื่อให้ใครๆเห็นภาพ New Man ที่เขาต้องการให้เกิดขึ้นจริง
วันนี้ การทำงานหนักและแนวคิดแผนเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด ของเช ทำให้เศรษฐกิจที่เคยล้มเหลวของคิวบากระเตื้องขึ้น รวมทั้งช่วยหยุดความขาดแคลนทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้จนถึงปัจจุบัน
ช่วงปี 1964-65 เชเดินทางไปในหลายประเทศเพื่อเจรจาเรื่องต่างๆ อาทิ สิงคโปร์ จีน หรือแม้แต่การเข้าประชุมกับองค์การสหประชาชาติ เพื่อประกาศว่าคิวบาไม่ต้องการพึ่งพาเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการกล่าวคำปราศรัยที่โด่งดังที่สุดครั้งหนึ่งของเช
ในเดือนตุลาคม 1965 คาสโต ได้รับจดหมายเช ว่าขอสละตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งสัญชาติคิวบาด้วย เพื่อเขาจะกลับไปต่อสู้กับลัทธิจักรวรรดินิยมอีกครั้ง
มีคนเชื่อว่า เหตุผลที่เชตัดสินใจกลับเข้าป่าปฏิวัติอีกครั้ง ทั้งที่อายุย่างเข้าวัยกลางคน และมีโรคหืดหอบประจำตัว เพราะไม่สมหวังในการสร้างคิวบา และการให้ความช่วยเหลืออย่างเสียไม่ได้ที่โซเวียตและประเทศยุโรปตะวันออกมอบ ให้แก่ประเทศด้อยพัฒนา
เชเข้าร่วมสงครามปฏิวัติที่คองโก ทวีปแอฟริกา ในปี 1965 แต่ก็ล้มเหลว และปี 1966 ก็เดินทางเข้าไปในโบลิเวีย เพื่อร่วมกับกลุ่มกบฏทำสงครามปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ แต่ถูกรัฐบาลโบลิเวียที่สหรัฐสนับสนุนตีแตกกระจาย
เชถูกยิงบาดเจ็บ และถูกจับได้ในเดือนตุลาคม 1967 ที่ La Higuera ในเทือกเขา Cordillera ทางตะวันออกของโบลิเวีย โดยกองกำลังทหารของรัฐบาลโบลิเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอ นำเชไปจองจำไว้ที่ La Higuera โดยมีเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ และ Felix Rodriguez ผู้ลี้ภัยชาวคิวบา ทำหน้าที่สอบปากคำในฐานะเชลยศึก
วันที่ 9 ตุลาคม 1967 เวลา 13.10 น. เชถูกสั่งยิงเป้า ทั้งที่ยังไม่มีการพิพากษาใดๆ !!!
ภายหลังการถูกสังหาร ร่างของเชถูกทำให้ไร้ร่องรอย มือทั้ง 2 ข้างของเขาถูกตัด เพื่อปิดช่องทางการพิสูจน์ตัวตน ร่างของเขาถูกนำไปฝังในสถานที่ลับห่างจากเมือง Vallegrande ไปประมาณ 30 กิโลเมตร
แต่ ในที่สุด โครงกระดูกของเชก็ถูกค้นพบเมื่อปี 1997 โดยนักวิทยาศาสตร์ในโบลิเวียเป็นผู้พิสูจน์ว่าโครงกระดูกนั้นเป็นของเช กูวารา จริงๆ
กระดูกของเช ถูกส่งกลับไปยังเมืองซานตาครูส ประเทศคิวบา และรัฐบาลฟิเดล คาสโต ได้นำโครงกระดูกของเชไปไว้ที่ Mausoleum ขณะที่ชาวคิวบา ก็ร่วมกันสร้างอนุสาวรีย์ Ernesto Che Guevara ในรูปที่พวกเขาคุ้นเคย คือมือหนึ่งถือปืน ส่วนแขนข้างซ้ายเข้าเฝือกไว้ เพื่อรำลึกถึง"วีรบุรษ"นักปฏิวัติที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นล่างของสังคมจากการกดขี่ข่มเหงของนายทุนใน ลัทธิจักวรรดินิยม
และมีพิพิธภัณฑ์ เช กูวาร่า แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชีวิต และการต่อสู้ของเช เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย
เช ปิดฉากชีวิตนักปฏิวัติในวัยเพียง 39
แต่วันนี้ ทุกคนยืนยันและได้ยินเสมอว่า "เช..ยังไม่ตาย"
ที่มา : Wikipedia ,Che-Lives.com,เดอะ การ์เดียน