เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก 360sb.net , cncjsb.com
.
ได้ชื่อว่าเป็นลูก ต่อให้มีที่มาที่ไปจากการเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอย่างไร
คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังคงรู้สึกผูกพันจนไม่อยากให้ใครพรากไปจากอกอยู่วันยังค่ำ และแม้ว่าจะมีอุปสรรคอย่างไร แต่สุดท้ายพ่อแม่ก็ต้องสู้อย่างสุดแรงเพื่อให้ลูกอยู่ในอ้อมกอดต่อไปอยู่ดี ดังเช่นเรื่องราวของแม่และลูกเก็บมาเลี้ยงชาวจีนที่เรานำมาฝากกันต่อไปนี้
.
เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ไชน่าเดลี่ของจีน เปิดเผยเรื่องราวสุดน่าเห็นใจของแม่และลูกเก็บมาเลี้ยงในจีน ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์สุดลำบากใจ เมื่อไม่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นแม่ลูกกันตามกฎหมายได้ ซ้ำทางการยังเกือบจะพรากลูกไปจากอก เพราะฐานะยากจน และไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับลูกที่เก็บมาเลี้ยง
โดยแม่รายนี้ คือนางหวง จินเหลียน วัย 75 ปี ซึ่งเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขยะรีไซเคิลไปขาย และอาศัยอยู่ในบ้านเล็ก ๆ แบบเรียบง่ายที่ไม่ค่อยสะอาดนักและเต็มไปด้วยขยะ จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 2005 ขณะที่เธอกำลังออกเก็บขยะรีไซเคิลกับสามีอยู่นั้น เธอก็ไปพบกับเด็กทารกคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในลังกระดาษที่ถูกทิ้งไว้ในมุมตึก ด้วยความที่บริเวณนั้นไม่มีใครที่มีท่าทีจะรับผิดชอบเด็กคนนี้เลย เธอจึงแน่ใจว่าคงมีใครสักคนเอามาทิ้งไว้แน่ ๆ จึงเก็บมาเลี้ยง ก่อนจะตั้งชื่อทารกว่า อู๋ เทียนเซิง และเลี้ยงดูเขาด้วยเงินรายได้ที่ได้มาเพียง 2,800 บาทต่อเดือนเท่านั้น จนเวลาผ่านไป ทารกน้อยก็เติบโตขึ้นและเธอก็รู้สึกผูกพันแนบแน่นกับ อู๋ เทียนเซิง เป็นอย่างมาก
.
จนกระทั่งเมื่อถึงวัยอนุบาล นางหวงก็ส่งเสีย อู๋ เทียนเซิง ให้เข้าเรียน มีโอกาสเฉกเช่นเด็กคนอื่น ๆ แต่ไม่นานนักอู๋ก็ต้องออกจากโรงเรียน เพราะถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนกลั่นแกล้งและล้อเขาว่าเป็นลูกคนคุ้ยขยะจนอู๋ไม่สามารถอยู่ในโรงเรียนได้อีกต่อไป หลังจากนั้น อู๋ก็ออกมาช่วยนางหวงเก็บขยะและเขาก็ทำมันได้ดี
และในวันหนึ่ง นางหวงก็ได้ตระหนักว่าลูกของเธอจะต้องเข้ารับการศึกษาเทียบเท่ากับเด็กคนอื่น ๆ จึงไปสมัครที่โรงเรียนอีกครั้ง แต่แล้วก็ถูกปฏิเสธกลับมา เนื่องจากเธอไม่มีหลักฐานรับรองเด็กที่เธอเก็บมาเลี้ยงแต่อย่างใด แถมยังไม่สามารถไปแจ้งสิทธิ์การเลี้ยงดูกับทางการได้ เพราะเธอไม่มีพยานอื่นนอกจากสามีว่าเด็กที่เก็บมาเลี้ยงนั้นถูกทิ้งไว้จริง ไม่ใช่เด็กที่ขโมยมาแต่อย่างใด นอกจากนี้เธอยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ทั้งฐานะยากจน ทั้งรายได้น้อยและไม่มั่นคง และที่สำคัญเธอมีลูกแท้ ๆ ไปแล้ว 4 คน ทุกอย่างล้วนขัดกับกฎของการรับเลี้ยงลูกบุญธรรมของจีนทั้งนั้น ทำให้อู๋ไม่ได้เป็นลูกบุญธรรมของเธอได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
อุปสรรคของนางหวงจึงเริ่มต้นขึ้น เพราะนอกจากเธอจะไม่สามารถนำอู๋ไปเข้าโรงเรียนได้ เธอยังถูกทางการกดดันให้ส่งตัวอู๋ไปยังสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าอีก ซึ่งมันทำร้ายจิตใจเธอมาก เพราะเธอเลี้ยงอู๋มาตั้งแต่ยังเล็ก และรู้สึกว่าอู๋เป็นลูกของเธอแล้ว เธอจึงไม่ยอมส่งตัวอู๋ไปให้ทางสถานสงเคราะเห์เด็กกำพร้าแต่อย่างใด โดยเธอยืนยันว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็จะเลี้ยงดูอู๋จนลมหายใจสุดท้ายของเธอให้ได้ ขณะที่ทางการก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า นางหวงดูเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก ไม่มีคุณสมบัติตามกำหนด และมีรายได้น้อย แต่กลับเลือกจะเลี้ยงดูเด็กท่ามกลางความลำบากของตนให้เติบโตขึ้นโดยไม่ได้รับสิทธิ์คุ้มครองใด ๆ ตามกฎหมายเลย
.
อย่างไรก็ดี ล่าสุด ดูเหมือนว่าอุปสรรคของนางหวงครั้งนี้จะสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อนายจาง ต้าเสี่ยว ลูกชายคนโตวัย 37 ปีของนางหวง ซึ่งจบปริญญาตรีและมีรายได้เพียงพอที่จะรับรองเป็นพ่อบุญธรรมของเด็กได้ จะส่งเรื่องเข้าสู่ทางการเพื่อรับรองเป็นผู้ปกครองของอู๋อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่อู๋เองก็กำลังยิ้มแก้มปริ เมื่อมีข่าวดีว่า หลังจากการยื่นเรื่องรับรองบุตรบุญธรรมเสร็จสิ้น เขาก็จะได้มีโอกาสเรียนในโรงเรียนประถมเฉกเช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ ในปีหน้านี้แล้ว
ขอบคุณที่มาของภาพและบทความ..........
http://hilight.kapook.com/view/66190