ย้อน กลับไปเมื่อช่วงดึกของวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ช่วงเวลาที่ใครหลายคนเตรียมตัวฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เหตุการณ์ไม่คาดฝันและสร้างความสะเทือนใจให้คนทั้งประเทศได้เกิดขึ้น เมื่อรถตู้โดยสาร วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต - หมอชิต มุ่งหน้าเข้ากรุงตามทางด่วนโทลล์เวย์ขาเข้า ถูกรถเก๋งฮอนด้าซีวิค ขับชนท้ายรถตู้จนเสียหลักพลิกคว่ำไปชนขอบกั้น ทำให้ประตูรถตู้เปิดออก แรงเหวี่ยงส่งผลให้ผู้โดยสารภายในรถกระเด็นตกลงไปยังพื้นเบื้องล่าง มีผู้ เสียชีวิตทันที 8 ศพ และเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ศพ ที่โรงพยาบาล
"บนถนนวิภาวดีรังสิตมีศพตกลงมานอนเสียชีวิตเกลื่อนถนน หนึ่งในนั้นกระเด็นมาสิ้นใจติดอยู่กับเหล็กสะพานลอย ที่อยู่ใต้ทางด่วนโทลล์ เวย์พอดี บางรายก็เสียชีวิตอยู่ในคลอง บุคคลที่มีความรู้ มีอนาคต ทั้งนักศึกษา นักวิชาการ หลายคนต้องจบชีวิตไปก่อนเวลาอันควร"
ส่วนผู้ขับรถเก๋งซีวิคมรณะคันนี้ ก็คือหญิงสาววัย 17 ปี ทายาทตระกูลดัง ซึ่งหลังเกิดเหตุได้ถูกกระแสสังคมโจมตีอย่างหนัก ในประเด็น "ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน" ยืนกดโทรศัพท์หลังเกิดเหตุ ประกอบกับเป็นบุคคลที่มีนามสกุลดัง หลายคนจึงคิดว่า "ตำรวจไม่กล้าแตะ" และสาววัย 17 ปี รายนี้ หรือที่รู้จักกันในนามแฝงว่า "สาวซีวิค 9 ศพ" ไม่มีทางได้ติดคุก เพื่อชดใช้เวรกรรมเป็นแน่แท้
ต่อมา "สกุลเทพหัสดิน" ได้ออกจดหมายแถลงแสดงความเสียใจ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงแม่ของสาวซีวิค ก็เดินสายขอขมาญาติผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ พร้อมทั้งแก้คำครหาต่างๆให้กับลูกสาว ที่กำลังตกเป็นจำเลยของสังคม โดยระบุว่า ตัวลูกสาวเครียดมาก และบอกกับแม่ว่า "เอาชีวิตหนูไปเลยไหม ทำไมหนูไม่ตาย" แต่ก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดดีขึ้นแต่อย่างใด
"ขอโทษค่ะ หนูเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นอุบัติเหตุ" ถ้อย คำสัมภาษณ์เพียงสั้นๆ ของสาวซีวิค ในวันที่เดินทางมาให้ปากคำและรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งทางตำรวจก็ไม่ได้ควมคุมตัวผู้ต้องหารายนี้ไว้ โดยให้เหตุผลว่า "เป็นเยาวชนอยู่" จึง ต้องส่งตัวไปยังสถานพินิจฯ แต่อย่างไรก็ตามสาวซีวิค ก็ไม่ได้ถูกสถานพินิจฯ ควบคุมตัวไว้เช่นกัน จากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มเงียบหายไปตามกาลเวลา..เหลือไว้แต่เพียง"คราบน้ำตา" ของเหล่าบรรดาผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และความเคลือบแคลงใจของคนในสังคมว่า ถ้าหากผู้ต้องหา "นามสกุลไม่ดัง" และ "เป็นคนจน" รวมไปถึงไม่มีหน้าตาทางสังคม จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้หรือไม่..?
กระทั่งต่อมาศาลได้สั่งฟ้องสาวซีวิค ในความผิดขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์มือถือ "แต่สาวซีวิค ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา" ศาล จึงกำหนดนัดสืบพยานในเวลาต่อมา แต่ผู้คนในสังคมรวมถึงสื่อกลับไม่ได้ให้ความสำคัญเหมือนก่อน อาจจะเนื่องด้วยสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ในช่วงนั้นพอดิบพอดี หรืออาจจะเป็นกรณีการพิจารณาคดีที่กินเวลาเนิ่้นนาน เรื่องราวที่เคยทุกสายตาของผู้คนในสังคมจับจ้อง จึงถูกมองข้ามไป เปรียบเสมือนดั่งว่าถูก "พัดพาไปกับสายน้ำ"
จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นระยะเวลา 1 ปี แล้ว คดีความต่างๆ ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะกำหนดสืบพยานทั้งโจทก์ และจำเลย ยืดยาวออกไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมปีหน้า ซึ่งเราก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าผลจะออกมาเป็น "หมู่"หรือ"จ่า" คนกระทำผิดที่แม้อาจจะไม่ได้ตั้งใจกระทำลงไป จะได้รับโทษทัณฑ์หรือไม่ หรือ"คุกจะมีไว้เพียง สำหรับขังคนจนเท่านั้น" อย่างที่ใครหลายคนเคยพูดกันเอาไว้จริงๆ...
สุดท้ายนี้ทางทีมข่าว S! News ขอร่วมรำลึก เนื่องด้วยโอกาสครบรอบ 1 ปี และขอไว้ิอาลัยให้กับผู้เสียชีวิตทั้ง 9 ราย จากอุบัติเหตุดังกล่าว มา ณ ที่นี้ด้วย