ตำนานสยอง ซานฟรานซิสโก
ซานฟรานซิสโก เป็นนครที่สวยงามอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องแวะไปเยือนเมื่อมาถึง รัฐแคลิฟอร์เนีย แสงสียามราตรีทำให้นครแห่งนี้มีชีวิตชีวาเช่นเดียวกับมหานคร
อีกหลายๆ แห่งของสหรัฐ ทว่าในคืนที่หมอกลงจัดคล้ายเงาภูตผีหลายคนอดหวนนึกไปถึงตำนานสยองของซานฟรานซิสโกขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ตำนาน...เรือผีสิง ตำนานฝีเท้าปีศาจ และ เสียงโซ่ตรวน ที่ดังกึกก้องในคุกที่ไร้นักโทษ ตำนานเหล่านี้เล่าขานกันมานานจนกลายเป็นตำนานคู่บ้านคู่เมืองของซานฟรานซิสโกไปแล้ว ใครอยากรู้ อ่านดูเลยจ้า!
ตำนาน...เรือผีสิง
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของซานฟรานซิสโกก็คือ สะพานโกลเด้นเกท ซึ่งครั้งที่สร้างเสร็จใหม่ๆ ในปี ค.ศ.1937 เคยได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ขวา) ทุกวันนี้โกลเด้นเกทก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่เชิดหน้าชูตาของนครแห่งนี้ นอกเหนือจากการเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในการเชื่อมต่อซานฟรานซิสโกเข้ากับมารินเคาน์ตี้ ทางตอนเหนือ โดยมีรถแล่นไปมาวันละไม่ต่ำกว่า 120,000 คัน
ทว่า การจราจรบนท้องน้ำเบื้องล่างใต้สะพานลงไปราว 220 ฟุต กลับไม่ราบรื่นเหมือนการจราจรบนสะพาน เพราะช่องแคบโกลเด้นเกทซึ่งเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก และอ่าวซานฟรานซิสโก (ซ้าย) มีกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และแคบมากเพียง 1 ไมล์เท่านั้น ซึ่งหมอกยังลงจัดมากจนทำให้เรืออับปางมากกว่า 100 ลำ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนทิศทางลมและกระแสน้ำอย่างฉับพลัน
คนที่พำนักในย่านนั้นมักจะเห็นเรือสมัยโบราณแล่นไปมาจนต้องโทร.แจ้ง 911 อยู่เสมอ แต่เมื่อตำรวจมาถึงกลับไม่พบเรือประหลาดเหล่านั้น ในปี 1942 ทหารเรือของเรือรบหลวงเคนนิสัน ยืนยันว่าเห็น “เรือผีสิง” แล่นในช่องแคบในสภาพที่ผ้าใบขาดวิ่น แต่กลับแล่นได้เร็วจนหายลับไปกับตาคงไม่ได้ตาฝาดหรอกนะ!
ตำนาน...เหมืองปีศาจ
ในปี 1848 ซานฟรานซิสโกเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่มีคนอาศัยเพียง 800 คน แต่ในเมืองใกล้ๆ กันมีการค้นพบ เหมืองทอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพียง 2 ปีให้หลังบรรดานักแสวงโชคแห่กันเข้ามาขุดทอง และอพยพย้ายถิ่นมาอาศัยที่ซานฟรานซิสโกมากมายถึง 25,000 คน บางส่วนของเมืองจึงเป็น สุสานเก่า ซึ่งเมื่อมีการขยายเมืองในเวลาต่อมา สุสานบางแห่งก็ได้ถูกยกเลิกไป ตำนาน...เหมืองปีศาจ เล่าว่า สุสานเก่าในเขตรัสเชียนฮิลล์ ซึ่งฝังศพกลาสีชาวรัสเซียในยุคแสวงโชค ได้ถูกย้ายออกไปเพื่อใช้สร้างอาคารใหม่ๆ อาทิ สถาบันศิลปะ ซานฟรานซิสโก (บน) ในปี 1926 หลังจากนั้นก็จะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในตึก อาทิ มีเสียงฝีเท้าในยามค่ำคืนทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ในตึก หรืออุปกรณ์ช่างจู่ๆ ก็หมุนได้เองโดยไม่มีใครไปเปิดนักศึกษาบางคนเห็นแสงไฟประหลาดที่หอคอยของสถาบันทำให้โจษจันกันไปว่า ...บางทีวิญญาณของกลาสีที่ยังวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นอาจจะส่งสัญญาณเตือน ให้รู้ว่า...อย่ามารบกวนพวกเขาอีก
ตำนาน...คุกหลอน
เกาะอัลคาทราซ เป็นเกาะร้างในอ่าวซานฟรานซิสโก (บน)ซึ่งใช้เป็นคุกทหารก่อนจะกลายมาเป็นเรือนจำของซานฟรานซิสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1934 (ล่าง) โดยมีระบบการควบคุมนักโทษที่รัดกุม ยากแก่การหลบหนี อัล คาโปน เจ้าพ่อคนดังของอเมริกาก็ถูกส่งตัวมาชดใช้กรรมที่คุกแห่งนี้นานถึง 29 ปี แม้จะเป็นเรือนจำที่คุมเข้มที่สุด แต่นักโทษก็ยังไม่วายคิดหนี โดยกระโจนลงสู่สายน้ำที่เย็นยะเยือก และเชี่ยวกรากของอ่าวซานฟรานซิสโก หมายจะให้น้ำพัดพาตัวเองไปขึ้นฝั่ง ทว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่ตายกลางน้ำมักจะถูกจับกุมได้ก่อนขึ้นฝั่งเสมอ
เกาะอัลคาทราซหมดสภาพการเป็นเรือนจำในปี 1963 แล้วพัฒนาพื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะ แต่นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเกาะนี้มักจะได้ยินเสียงโซ่ตรวนดังแว่วๆ หรือได้ยินเสียงแบนโจดังมาจากห้องคุมขัง เจ้าพ่ออัล คาโปน ในขณะที่หลายคนยืนยันว่า เกิดอาการขนลุก เย็นสันหลังวาบขึ้นมาเฉยๆ เมื่อได้เห็นเงาวูบๆ วาบๆ และบริเวณที่ยืนอยู่ก็เย็นยะเยือกขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับคุกหลอนที่อัลคาทราซได้ตอกย้ำความเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตาย...โดยเฉพาะการรับโทษทัณฑ์ในภพอื่นของอดีตนักโทษแห่งอัลคาทราซ
...ตายแล้วก็ยังต้องถูกจองจำแบบนี้...บางทีอาจเป็นอุทาหรณ์ให้คนชั่วคิดกลับตัวกลับใจเสียใหม่ก็เป็นได้