ย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 19 ที่รัฐคอนเนติคัท สหรัฐอเมริกา – โอลิเวอร์ วินเชสเตอร์ พ่อของวิลเลี่ยม วินเชสเตอร์ ได้คิดค้นปืนแบบใหม่ซึ่งสามารถบรรจุกระสุนได้ทีเดียว 13 นัดจากที่เดิมยิงได้เพียงทีละนัด นับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่สำหรับปืนไรเฟิลเลยทีเดียว จนถึงกับมีการเรียกปืนไรเฟิลรุ่นปี 1873 ของวินเชสเตอร์ว่า "The Gun That Won The West"
…ในยุคนั้นสหรัฐเกิดสงครามกลางเมือง (Civil War) ครอบครัววินเชสเตอร์ได้ผลิตปืนรุ่นนี้เพื่อขายให้กับทางรัฐบาลและในขณะเดียวกันมันก็แพร่หลายไปทั่ว ไม่เฉพาะเพียงในอเมริกาเท่านั้น ยังเป็นที่นิยมไปถึงประเทศอื่นๆ จนเกือบทั่วโลกอีกด้วย ตระกูลวินเชสเตอร์จึงยิ่งร่ำรวยหนักกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน
เมื่อโอลิเวอร์เสียชีวิตลง ลูกชายของเขาคือ วิลเลี่ยม วินเชสเตอร์ ได้เข้ามาดูแลกิจการทั้งหมดแทน วิลเลี่ยมมีภรรยาคือ ซาร่า วินเชสเตอร์ ทั้งสองมีลูกด้วยกันหนึ่งคน คือ แอนนี่ …แต่แอนนี่กลับป่วยเป็นโรคมาแรสมัส (Marasmus; เป็นโรคที่ร่างกายขาดสารอาหาร จนอดตายไปเองเหมือนเด็กไม่มีอะไรจะกิน) และเสียชีวิตลง ทำให้ซาร่าเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาดังกล่าวทำให้เธอเสียสติและใช้เวลาบำบัดนานถึง 10 ปี จึงจะกลับมาปกติอีกครั้ง หลังจากเธอหายดีได้ไม่นาน สามีผู้เป็นทายาทคนเดียวของบริษัทผลิตปืนไรเฟิลก็เสียชีวิตลงอีกและทิ้งเธอไว้ให้อยู่กับมรดกก้อนโตกว่า 20 ล้านเหรียญ และหุ้นบริษัทอีกกว่า 49%
เนื่องจากการตายของสามีและลูก ทำให้ซาราห์เศร้าโศกเสียใจจนทำใจไม่ได้และรู้สึกกระวนกระวายใจมาก จนเมื่อวันหนึ่งเพื่อนของเธอแนะนำให้เธอลองสื่อสารกับวิญญาณของสามีและลูกเธอผ่านทางร่างทรง …ร่างทรงบอกเธอว่าเขาสามารถติดต่อกับวิญญาณของสามีเธอได้และสามีเธอเตือนเธอว่าการตายของเขาและลูกเกิดจากวิญญาณของผู้ที่ถูกยิงตายด้วยปืนไรเฟิลที่บริษัทพวกเขาผลิตนั่นเอง วิญญาณเหล่านั้นจะตามล่ารังควานและพรากชีวิตคนที่เธอรักไปทีละคน และคนถัดไปคือ ตัวของซาร่าเองนี่ ร่างทรงแนะนำว่าเพื่อแสดงความเคารพต่อวิญญาณผู้ตายเหล่านั้นเธอจะต้องย้ายบ้านไปอยู่ทางทิศตะวันตกและจงสร้างบ้านต่อไปเรื่อยๆ หากวันใดที่เธอสร้างบ้านเสร็จวันนั้นจะเป็นวันตายของเธอเอง
ซาร่าเดินทางมายังแคลิฟอร์เนียและติดต่อซื้อที่ดินจากคุณหมอท่านหนึ่งเป็นอาณาบริเวณทั้งสิ้น 160 เอเคอร์และเธอได้จ้างชาวบ้านละแวกนั้นมาเป็นช่างไม้ ช่างทาสี ช่างทั่วไปสารพัดและที่สำคัญการสร้างบ้านนั้นจะต้องดำเนินไปทั้งสิ้น 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ หรือพูดง่ายๆ ว่าการก่อสร้างจะต้องดำเนินไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด วันแล้ววันเล่า กว่า 36 ปีเต็มที่เสียงตอกตะปูไม่เคยหยุดเงียบในบริเวณบ้าน …ซาราห์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์มหึมา เดียวดายตามลำพัง ถ้าไม่นับคนใช้ (ซึ่งก็อาศัยอยู่ในส่วนของคนใช้) และช่างก่อสร้าง ตอนกลางคืนซาราห์มักใช้เวลาปรึกษาหารือกับวิญญาณเรื่องการก่อสร้างบ้าน ถ้าคืนไหนนอนไม่หลับ เธอก็เล่นเปียโน เสียงเพลงแว่วออกไปถึงคนเดินถนนภายนอกในยามค่ำคืนและทุกเช้าเธอจะเรียกช่างไปพบพร้อมด้วยแปลนต่อเติมใหม่ให้ตัวบ้าน ซึ่งสับสนอลหม่านไม่เหมือนบ้านไหนในโลก พอสร้างไปแล้วพบว่ามันไม่ลงตัว เธอก็หาทางออกด้วยการเพิ่มส่วนใหม่รองรับเข้าไป บ้านจึงขยายตัวออกไปเรื่อยๆ แทนที่จะเป็นหลังเดียวก็เหมือนหมู่บ้านต่อเชื่อมติดกันเป็นกองใหญ่ ส่วนความสูงก็ต่อกันแล้วต่อกันอีกเข้าไปถึง 7 ชั้น มีหอคอย ปีกของบ้าน หลังคาใหญ่น้อยอยู่ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง แล้วแต่ใจชอบ …เหตุผลที่ว่าทำไมซาราห์ต้องสร้างบ้านไม่หยุด มีแตกต่างกันไป บางตำนานก็ว่าผีจะหนวกหูเสียงก่อสร้าง ไม่มารบกวน แต่บางตำนานบอกว่า บ้านนี้สร้างเพื่อผี ถ้าสร้างยังไม่เสร็จผีก็มาเอาตัวเธอไปไม่ได้ เธอจึงต้องทำให้เห็นว่ากำลังก่อสร้างตลอดเวลา …นอกจากนี้ ว่ากันว่าความสลับซับซ้อนของบ้านนี้ทำให้วิญญาณร้ายที่ตามอาฆาต เกิดความสับสนงงงวย เวลาเข้ามาในบ้านจะได้รังควานเธอไม่ถูก
เมื่อปี 1906 – จากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ รู้จักกันในนาม The Great San Francisco Earthquake ทำให้ชั้นบนของบ้านวินเชสเตอร์ถล่มลงมาจนสิ้น …เหตุการณ์นี้ทำให้ซาร่าคิดว่าเป็นเพราะเหล่าวิญญาณไม่พอใจ บ้านวินเชสเตอร์สร้างจนไม่รู้จะสร้างอะไรเพิ่มแล้วและเหมือนกับเหล่าวิญญาณร้ายจะส่งสัญญาณที่จะมาเอาชีวิตของเธอไป เธอก็เลยจัดการสั่งปิดตายห้องด้านหน้าเสีย 30 ห้อง เพื่อการก่อสร้างจะได้ค้างคาไม่เสร็จอยู่ตลอดไปและยังเป็นการกักขังผีที่ถูกถล่มลงมาพร้อมกับบ้านให้ติดอยู่ในห้องเหล่านั้นไม่ให้ออกมารบกวนเธออีก …
มีเรื่องเล่ากันว่า ซาร่านั้นนอนหลับในห้องที่ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละคืนและคืนที่แผ่นดินไหวนั้นเธอหลับอยู่ในห้อง Daisy Room ซึ่งในคืนดังกล่าวเธอติดอยู่ในซากปรักหักพังของห้องจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดและบรรดาสาวใช้ต่างใช้เวลานานมากในการที่จะหาตัวซาร่า ดังนั้นในที่สุดซาร่าจึงตัดสินใจที่จะนอนอยู่ในห้องห้องเดียวถาวรเพื่อง่ายต่อการหาตัวเธอหากเกิดเหตุใดๆ ขึ้นอีก
ปี 1922 ซาร่าจากโลกนี้ไปด้วยอายุ 84 ปีและคฤหาสน์ก็หยุดการเติบโต เธอใช้เงินจำนวนมาก (ได้จากสิทธิบัตรของไรเฟิล) สร้างบ้านก็จริง แต่โดยชีวิตส่วนตัวแล้ว เธออยู่อย่างเรียบง่ายและประหยัด จะมีการใช้เงินก้อนใหญ่ก็ต่อเมื่อเป็นการบริจาคเพื่อสังคมเท่านั้นเอง โรงงานผลิตไรเฟิลวินเชสเตอร์ถูกขายทอดผ่านมือคนไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนปัจจุบันได้กลายเป็นโรงงานทำปืนสำหรับล่าสัตว์
คฤหาสน์วินเชสเตอร์ถูกสร้างเป็นเวลา 38 ปี – ในปี 1974 ได้ถูกบันทึกเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของประเทศ ปัจจุบันนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม นอกจากในแง่การก่อสร้างอันพิสดารแล้วยังมีชื่อว่าเป็นบ้านผีสิงอีกด้วย และนอกเหนือไปจากทัวร์ปกติในตอนกลางวัน (ต้องมีไกด์นำทางกันหลง) ยังมีทัวร์กลางคืนสำหรับผู้สนใจด้วย
คฤหาสน์หลังนี้มีมูลค่า 5,500,000 ดอลล่าร์สหรัฐ มีห้องทั้งหมด 160 ห้อง สูง 4 ชั้น (เดิม 7) ห้องใต้ดินสองชั้น ประตู 950 บาน หน้าต่างประมาณหมื่นบานเตาผิง 47 เตา บันได 40 ที่ (376 ขั้น) และห้องจัดเลี้ยงอีก 2 ห้อง
อีกเกร็ดหนึ่งที่อยากให้ทราบกันคือ เป็นเวลากว่า 120 ปีแล้วที่บ้านหลังนี้กำปริศนาที่ว่ามันมีห้องกี่ห้องกันแน่ เพราะทุกครั้งที่ปฎิบัติการนับห้องในบ้านเริ่มขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เคยเท่ากันเลยสักครั้ง และจำนวนที่กล่าวกันว่าบ้านนี้มี 160 ห้องนั้น เป็นเพียงตัวเลขอย่างสังเขปเท่านั้น
บรรดาไกด์และคนดูแลบ้านต่างประสบกับเรื่องราวลี้ลับที่พวกเขาอธิบายไม่ได้ เช่น เมื่อกลางดึกของคืนหนึ่งระหว่างผู้ดูแลบ้านกำลังเดินปิดประตูห้องต่างๆ อยู่นั้น เขาได้ยินเสียงคนเดินอยู่ชั้นบนของบ้าน แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้เลยเพราะบ้านทั้งหลังมีเขาเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาชั้นบนได้ หรือไกด์คนหนึ่งระหว่างนำกลุ่มนักท่องเที่ยวชมบ้าน เขาพบกับหญิงชราร่างเล็กสวมชุดสไตล์วิคตอเรียน เมื่อการนำชมเสร็จแล้วเขาจึงเดินไปต่อว่าเพื่อนๆ ไกด์ด้วยกันเพราะเขาคิดว่าวันนี้มีการแต่งกายเลียนแบบซาร่า แต่ไม่มีใครในกลุ่มไกด์บอกเขาล่วงหน้าเลย คำตอบที่เขาได้รับจากเพื่อนๆ ทำให้เขาถึงกับงงไปนานเพราะไกด์ทั้งหลายต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า บ้านหลังนี้ไม่เคยมีการให้หญิงชราไปนั่งแต่งกายเลียนแบบซาร่าเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สำหรับความพิสดารของบ้านนั้นมีหลายอย่าง เช่น ภายในบ้านนั้นจะพยายามทำให้เป็นเลข 13 ให้ได้มากที่สุดเช่น ต้นไม้ที่ปลูก 2 ทางเข้าบ้านนั้นมี 13 ต้น, เชิงเทียนที่ปกติเค้าออกแบบให้ใส่เทียนได้ 12 เล่ม แต่ซาร่าสั่งทำใหม่ให้ใส่เทียนได้ 13 เล่ม, ตู้เสื้อผ้าที่มีตะขอแขวนผ้าได้ 13 ชิ้นต่อตู้, บานกระจกที่มีแบ่งกรอบ กรอบละ 13 ส่วน …หรืออันนี้ที่สำหรับคนไทยอาจจะแค่แปลก แต่ฝรั่งมองว่าเป็นสิ่งที่หลอนมากครับ มันคือบันไดที่ทอดไปสู่เพดานหรือ A stair that leads to nowhere คุณคิดดูสิว่าคนเราจะสร้างบันไดที่ทอดไปสู่เพดานเพื่ออะไร?
ห้องน้ำทุกห้องในคฤหาสจะมีประตูที่ทำจากแก้วเท่านั้น เหตุเพราะเธอเชื่อว่าวิญญาณนั้นกลัวภาพสะท้อนของตัวเองเธอจึงติดประตูกระจกเอาไว้ …มีหน้าต่างที่มองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากผนังของอีกห้องหนึ่ง นอกจากนี้ซาร่ายังสั่งให้ช่างติดหน้าต่างไว้ที่พื้น, ทำประตูที่เปิดไปแล้วไม่มีอะไรนอกจากกำแพงโล่ง, ประตูที่เปิดแล้วมองเห็นห้องครัวชั้นล่าง, ประตูที่เปิดไปสู่ชั้นล่างแต่ไม่มีบันไดให้ลง, ลิฟต์สามตัว (สำหรับเจ้าของบ้านคนเดียว), เตาผิง 47 แห่ง, ระเบียงขนาดจิ๋ว ใช้เดินผ่านไม่ได้, ปล่องไฟที่สร้างไว้สูง 4 ชั้นแต่ตรงปลายทิ้งไว้ ไม่ติดต่อทะลุเพดาน, ประตูห้องเก็บเสื้อผ้า ที่เปิดเข้าไปเจอผนังทึบ, ประตูลับบนพื้นห้อง, ทางเดินระหว่างห้องที่ย้อนกลับมาที่ห้องเดิม, ช่องรับแสงสว่างบนหลังคา ที่สร้างไว้ซ้อนใต้หลังคาอีกแห่งหนึ่ง, ประตูที่เปิดออกไปแล้วก็จะก้าวดิ่งลงสู่อากาศว่างๆ นอกบ้าน เหนือสวนดอกไม้เบื้องล่าง, เสาเชิงบันได ที่ติดตั้งกลับหัวลง, อ่างล้างมือที่มีท่อน้ำทิ้งถึง 13 ท่อสำหรับอ่างเดียว ฯลฯ