ปรากฏการณ์ "รถติด" เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมานับสิบปี และนับวันจะเป็นที่คุ้นเคยของคนเมืองเป็นอย่างดี เมื่อจำนวนรถมีมากกว่าถนน เมื่อวางผังเมืองไม่เหมาะสม เมื่อผู้คนไร้ระเบียบวินัย ฯลฯ หลายอย่างทำให้ถนนกลายเป็นที่จอดรถดีๆ นี่เอง
นิตยสาร travel+leisure ได้รวบรวมข้อมูลจากสถาบันการจราจรแห่งเท็กซัส, บริษัท IBM ผู้ให้บริการด้านสารสนเทศ, บริษัท TOMTOM ผู้ผลิตเครื่องจีพีเอส และINRIX องค์กรผู้ให้บริการข้อมูลด้านการจราจร โดยใช้ตัวชี้วัดหลายอย่าง ทั้งระยะเวลาการเดินทาง การเฝ้าติดตามบริเวณถนนคอขวด และความรู้สึกของผู้ขับขี่ จนได้ 15 เมืองที่รถติดที่สุดในโลกมา หลายเมืองเราอาจคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่อีกหลายเมืองเช่นกันที่ติดอันดับอย่างน่าประหลาดใจ
ทั้งหมด นี้ไม่เพียงบ่งบอกว่าเมืองไหนกำลังถูกบุกด้วยรถยนต์ แต่ยังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราเอาเวลาและเชื้อเพลิงไปผลาญกลางท้องถนนกันมาก มายขนาดไหนแต่ละปี
1. เม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก เม็กซิโก ซิตี้เป็นเมืองฮอตฮิตตั้งแต่งานกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1968 ในเวลาเพียง 4 ทศวรรษประชากรในเมืองก็เพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านเป็น 22 ล้านคน ตัวเมืองมีภูมิประเทศคล้ายคลึงกับแอลเอ คือตั้งอยู่ในหุบเขาและมีระบบถนนที่ซับซ้อน ทำให้ทั้งสองเมืองนี้มีปัญหามลพิษและการจราจรคล้ายๆ กันด้วย จากการสำรวจโดย IBM (สอบถามประชาชน 8,192 คนใน 20 เมืองใหญ่ทั่วโลก) ให้คะแนนเม็กซิโกซิตี้ด้านอุปสรรคการเดินทาง 99 จาก 100 คะแนน เรียกว่ากวาดคะแนนไปอย่างท่วมท้น
2. นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา หาก ใครได้ผ่านไปในมหานครแห่งนี้ช่วงเวลาประมาณตี 4 คุณจะได้พบกับการจราจรที่ไม่ต่างจากช่วงเวลาเร่งด่วนใจกลางเมือง และด้านนอกเมืองทางแมนฮัตตันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะในบรรดาถนนคอขวดที่แย่ที่สุดในอเมริกา 5 แห่ง อยู่ในนิวยอร์กเข้าไปแล้ว 4 แห่ง
3. บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม หาก คิดว่าโรมเป็นเมืองแออัดที่สุดในยุโรป ต้องขอบอกว่าผิดเสียแล้วล่ะ เพราะจากข้อมูลของบริษัท TomTom คำตอบที่ได้คือ "บรัสเซลส์" (จาก 59 เมืองในยุโรป) ประชากรราว 2 ล้านคนเดินทางเข้ามาในเมืองนี้ทุกๆ วัน ผสมกับประชากรที่อาศัยในเมืองนี้อีก 1 ล้านคน และส่วนมากมักเดินทางด้วยรถส่วนตัวมากกว่าระบบขนส่งสาธารณะ ช่วงเวลาที่ติดขัดสุดๆ คือ 7-9 โมง แล้วบ่าย 3-5 โมง ในระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งสามารถปั่นจักรยานในเวลา 20 นาที แต่ที่เมืองนี้ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในรถยนต์
4. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เมืองกรุงเทพฯ ของเราก็ติดอันดับเช่นกัน อัตราการเป็นเจ้าของรถพุ่งแซงการเจริญเติบโตของเมือง และรถสามารถติดได้ไม่เกี่ยงเวลา โดยทั่วไป ชั่วโมงเร่งด่วนตอนบ่ายจะเริ่มที่บ่าย 3 โมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กๆ เลิกเรียนและติดต่อเนื่องถึงเวลามื้อเย็น หากวันไหนฝนตกรถยิ่งนิ่งสนิท ถนนหลายสายจะแปรสภาพเป็นคลองชั่วคราว ให้ได้ย้อนอดีตกันว่าเมืองของเราเคยได้รับฉายา "เวนิสตะวันออก" แม้ว่ากรุงเทพฯ จะมีรถไฟฟ้าช่วยแก้ปัญหาจราจรได้บ้าง (แต่ดูเหมือนนโยบาลลดภาษีรถคันแรกคงจะเพิ่มปริมาณรถบนท้องถนนให้นิ่งสนิท ยิ่งขึ้น)
5. โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ จาก ข้อมูลของ IBM ผู้ใช้รถที่ตอบแบบสำรวจ 43% เห็นว่าไฟจราจรในเมืองนี้เป็นเรื่องบั่นทอนจิตใจที่สุด (ขยับได้เพียงไม่กี่เซ็นติเมตรก็หยุดอีกแล้ว) โครงสร้างเส้นทางรถไฟที่ไม่เหมาะสมและจำนวนประชากรที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น จาก 7 ล้านคนเป็น 14 ล้านคนใน 4 ปีข้างหน้า กำลังทำให้เมืองนี้กลายเป็นลานจอดรถดีๆ นี่เอง
6. มอสโก ประเทศรัสเซีย การ สำรวจของ IBM พบว่าโดยทั่วไปชาวเมืองมอสโกใช้เวลาติดอยู่บนท้องถนนถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง และมากกว่า 40% ตอบว่าเคยติดอยู่บนท้องถนนมากกว่า 3 ชั่วโมง จำนวนรถต่อประชากรในเมืองหลวงของรัสเซียแห่งนี้ เพิ่มจาก 60 คัน : 1000 คนในปี 1991 เป็น 350 คัน : 1000 คนในปี 2009
7. ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ น่าแปลกใจเลยที่ลอสแองเจลิสจะติดโผเมืองรถติดด้วย จากข้อมูลของสถาบันขนส่งเท็กซัส ระบุว่า ทุกๆ ปี ประชากรในเมืองนี้ใช้เวลาค้างเติ่งอยู่บนถนนถึง 485 ล้านชั่วโมง ใช้พลังงาน 367 ล้านแกลลอน ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 10.3 พันล้านดอลล่าร์ (กว่า 3 หมื่นล้านบาท) ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนไม่ค่อยจะใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้นานนัก
8. ปักกิ่ง ประเทศจีน ชาว ปักกิ่งเริ่มทิ้งจักรยานและหันไปหารถยนต์กันมากขึ้น จนตอนนี้มีปริมาณรถยนต์ใหม่ถึง 1,900 คันต่อวัน ย้อนไปในปี 1997 เมื่อเมืองนี้มีรถยนต์ถึง 1 ล้านคัน บางคนคาดการณ์ว่าจำนวนรถยนต์จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านคันในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ แต่ทางการก็ไม่ได้วางแผนรับมือแต่อย่างใด จนเร็วๆ นี้ถึงมีมาตรการห้ามรถบางประเภทเข้าโซนรถติดในวันทำงาน และแม้ว่าปักกิ่งยังติดอันดับต้นๆ ของเมืองรถติด แต่ผู้ตอบแบบสอบถาม 16 %ก็ยังรู้สึกว่าปัจจุบันปัญหารถติดมีทีท่าดีขึ้น
9. นิวเดลี ประเทศอินเดีย สภาพ เมืองที่แผ่กระจายอย่างไร้ระเบียบยิ่งเพิ่มความแออัดของรถรา คนใช้รถในเมืองนี้ยิ่งขับรถเร็วขึ้นเมื่อผ่านแยกไฟแดง ในช่วงเวลา 50 ปีประชากรเพิ่มขึ้นถึง 50% ในทุกๆ สิบปี และไม่มีทีท่าจะลดลง จากการสำรวจของ IBM พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการจราจรย่ำแย่มากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 65% รู้สึกเครียดเพราะไม่มีเวลาให้ครอบครัว และ 29 % บอกว่าการจราจรส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
10. วอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ หลาย คนอาจจะแปลกใจว่ามีเมืองวอร์ซออยู่ในโผรถติดด้วย แต่จากผลสำรวจของบริษัท TomTom เมืองวอร์ซอถือเป็นเมืองที่รถติดเป็นอันดับสองของยุโรป เมืองที่มีจำนวนรถ 3.5 ล้านคันติดอยู่ตามแยกต่างๆ สำนักงานต่างๆ มาตั้งอยู่ที่นี่กันมากกว่าเมืองอื่นๆ ในยุโรป และวอร์ซอก็ไม่มีทางเลี่ยงเมืองเสียด้วย
11. เซาท์เปาโล ประเทศบราซิล เมือง ใหญ่แห่งนี้ถือเป็นเมืองที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก แต่ด้วยสภาพเส้นทางดั่งเขาวงกต ประชากร 20 ล้านคน ยานพาหนะ 8.5 ล้านคัน การโจรกรรมรถและอาชญากรรมอื่นๆ ที่กำลังเพิ่มขึ้น จะไม่ให้ชาวเมืองนี้ไม่เครียดได้อย่างไร ผลสำรวจของ IBM ระบุว่า ผู้คนที่เดินทางในเมืองนี้ 55% รู้สึกเครียดจากผลของรถติด ซึ่งคนมีฐานะเหล่านี้ก็เลือกแก้ปัญหาโดยการ "บิน" เสียเลย ! เซาท์เปาโลเป็นหนึ่งในเมืองที่มีเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวมากเป็นอันดับต้นๆ
12. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ สำหรับ นักออกผังเมือง ลอนดอนถือเป็นความหวังในการพัฒนาเมือง แต่น่าเสียดายที่ใจกลางของเมืองยังหนาแน่นไปด้วยพาหนะต่างๆ พื้นที่รถติดยังกินที่ออกไปกว้างขึ้นและกินระยะเวลานานขึ้นด้วย จนเมื่อปี 2003 หน่วยงานแก้ปัญหาในชื่อ The London Congestion Charge ได้ถือกำเนิดขึ้นและดำเนินการคิดค่ารถติดในอัตราวันละ 8 ปอนด์หากใครนำรถเข้ามาในพื้นที่การจราจรแออัด ในชั่วโมงเร่งด่วน
13. ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา หาก ได้ดูสถาปัตยกรรมอันเป็นตำนานของที่นี่ อาจช่วยให้เข้าใจความวิกฤติของการจราจรในเมืองนี้ได้ หนึ่งในนั้นรวมถึงจุดคอขวดที่มีสภาพเลวร้ายเป็นอันดับสองของอเมริกา การติดสาหัสขนาดนี้ทำให้ผู้คนเสียเวลาไป 189 ชั่วโมง เสียเชื้อเพลิงไป 129 ล้านแกลลอน และสูญเสียทรัพยากรคิดเป็นมูลค่า 4.2 พันล้านดอลล่าร์ (125 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ถือว่าโชคยังดีที่เมืองนี้มี เดอะลูป (ถนนรอบเมือง)
14. ไคโร ประเทศอียิปต์ ไคโร อาจจะเป็นเมืองเดียวในตะวันออกกลางที่มีรถไฟใต้ดิน แต่เมืองนี้ก็มีอูฐ วัว รถเข็น และประชากรอีก 20 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ไม่เคารพสัญญาณไฟจราจรและตำรวจ นอกจากนี้ปัญหาการจราจรยังสร้างมลพิษอีกด้วย เมฆหนาทึบปกคลุมไปทั่วเมืองตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 90
15. จาการ์ตา ประเทศอินนีเซีย ตาม ทฤษฎี รถจักรยานยนต์ถือเป็นหนทางแก้ปัญหาในอุดมคติที่จะช่วยเคลื่อนย้ายคน แต่สำหรับจาการ์ตา หลักการนี้ใช้ไม่ได้ผล เมืองหลวงของอินโดนีเซียแห่งนี้มีมอเตอร์ไซค์ถึง 6.5 ล้านคัน แต่มีรถยนต์เพียง 2 ล้านคัน กระนั้นก็ยังมีปัญหาการจราจรอยู่ ปริมาณรถทำให้สามารถทำความเร็วเฉลี่ยในเมืองนี้ได้แค่ 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมจาการ์ตาระบุว่าปริมาณพาหนะในเมืองนี้เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 11% ต่อปี