หลังจากมีข่าวเป็นระยะว่า นักแสดงหลายคนมีอาการผิดปกติ จู่ๆ ใบหน้าและปากเกิดเบี้ยวขึ้นมา เพราะป่วยด้วยโรคปลายประสาทคู่ที่7 อักเสบ โรคนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมมักเกิดขึ้นกับดารา 'มุมสุขภาพ' มีคำตอบ..
ปลายประสาทคู่ที่7 อักเสบ หรือ “เบลส์ พอลซี่” (Bell's Palsy) โดยศัลยแพทย์ชาวสกอตต์ Charles Bell เคยบรรยายถึงโรคนี้ไว้เป็นคนแรกตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
สำหรับเส้นประสาทคู่ที่ 7 ออกมาจากก้านสมอง ผ่านใต้กะโหลก มาโผล่ที่หน้าหู และแยกเป็นสองแขนงทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า โดยแขนงด้านบนควบคุมการหลับตา แขนงล่างเป็นส่วนที่ดึงกล้ามเนื้อมุมปาก และยังมีแขนงย่อย ๆ ที่ไปเลี้ยงเยื่อแก้วหูและสัมพันธ์กับการรับรสของลิ้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแม้แพทย์จะยังไม่สรุปแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเกิดจากร่างกายอ่อนแอ เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ประกอบกับภาวะเครียด จนร่างกายติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเริม ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่งผลให้เส้นประสาทหรือปลายเส้นประสาทอักเสบ บวม หรือถูกกดทับ ซึ่งเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ภายในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง จะเริ่มมีไข้ต่ำ คล้ายเป็นหวัด จากนั้นจะปวดบริเวณหลังใบหู ต่อมาจะไม่สามารถควบคุมใบหน้าด้านหนึ่งได้ เช่น กระพริบตาไม่ได้ ริมฝีปากแข็ง เวลาดื่มน้ำจะมีน้ำไหลออกมาจากมุมปาก แม้กระทั่งการแปรงฟันก็จะมีน้ำรั่วออกมา ใบหน้าชา ปากเบี้ยว โดยเฉพาะขณะยิ้มจะเห็นได้ชัดว่า ปากทั้งสองข้างไม่เท่ากัน หรือเรียกรวมๆ ว่า ใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก นอกจากนี้บางรายมีอาการลิ้นชาหรือหูอื้อร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม บางรายเข้าใจว่าอาการที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพียงผลจากการนอนตกหมอน ซึ่งถ้ารุนแรงแล้วไม่ได้รับการรักษาก็เสี่ยงเป็นอัมพาตถาวร แต่ในกลุ่มของนักแสดง อาการต่างๆ ข้างต้นไม่สามารถนิ่งนอนใจอยู่ได้ เนื่องจากใบหน้าเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน จึงต้องรีบพบแพทย์จนทราบว่าป่วยด้วยโรคดังกล่าว
กรณีที่อาการไม่มาก โรคนี้สามารถหายได้เองใน 2-4 สัปดาห์ โดยไม่ต้องใช้ยา แต่หากมีอาการไม่น้อย แพทย์มักรักษาด้วยยา กลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการบวมและอักเสบของเส้นประสาท และยังมีวิธีการรักษาอื่นๆ อีก อาทิ กายภาพบำบัด ใช้ไฟฟ้ากระตุ้น หรือฝังเข็มอย่างแพทย์ทางเลือก ที่สำคัญแพทย์จะแนะให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้มาก และไม่เครียด.