ต้นไม้ใกล้มือ เข้าป่ามาได้สักพัก ข้าวของเครื่องใช้ที่เราเอาติดตัวมาจากในเมืองก็เริ่มร่อยหรอลงและหมดไปในที่สุด โดยเฉพาะของใช้ประจำวันที่เราเคยใช้กันอย่างสบาย เช่น สบู่ แชมพู ยาสีฟัน หรือแม้แต่กระดาษชำระ พอของเหล่านี้หมดลง จะไปหาซื้อเอาจากมินิมาร์ทที่ไหนก็ไม่มีสักแห่ง เราจึงต้องปรับตัว ปรับความเคยชินกันยกใหญ่ สิ่งที่มักจะหมดเป็นอันดับแรก ๆ คือ สบู่ และแชมพูสระผม ทั้งนี้ เพราะเราเคยชินกับการอาบน้ำแบบคนในเมือง ที่ต้องอาบทุกวัน วันละหลายครั้งเสียด้วย อาบมากก็ฟอกสบู่มาก ใช้มากก็เปลืองมาก จะให้อาบน้ำโดยไม่ฟอกสบู่ก็รู้สึกว่าเนื้อตัวไม่สะอาด เหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง พวกเราจึงเหลือทางเลือกเพียงสองทางคือ 1. ใช้ที่เหลืออยู่อย่างประหยัดที่สุด เพื่อที่จะได้มีใช้ไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ 2. เสาะหาอย่างอื่นมาใช้ทดแทน พูดถึงการประหยัดสบู่ คงไม่มีใครจะประหยัดได้เกินพลพรรคทหารป่าอีกแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม สบู่ก้อนขนาดกลาง ๆ กำลังเหมาะมือ สหายบางคนสามารถใช้แบบประหยัดได้เป็นเวลาเกือบสองปี! พูดแล้วออกจะเหลือเชื่อสำหรับคนเมือง แต่สาบานได้ว่าเป็นเรื่องจริง พวกสหายจะหาเศษผ้าบาง ๆ เช่นผ้าร่ม หรือเศษผ้าไนล่อนบาง ๆจากกางเกงในเก่าของสหายหญิงที่หมดสภาพแล้ว มาเย็บเป็นถุงหูรูดใบเล็ก ๆ มีเชือกร้อยเพื่อสะดวกต่อการพกพา เวลาอาบน้ำก็จะหิ้วถุงสบู่สีสันสดใสเหล่านั้นไปที่ท่าน้ำคนละใบ เวลาใช้ก็ฟอกตัวไปทั้งถุงนี่เลย ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าสบู่จะเหลือเพียงก้อนเล็กจิ๋วอย่างไร ก็ยังสามารถใช้ฟอกตัวได้ ไม่ลื่นหลุดมือตกน้ำหายให้เสียของ พอใช้เสร็จ ก็เอามาแขวนผึ่งลมไว้ที่หัวนอน ทำให้เนื้อสบู่ในถุงแห้งอยู่เสมอ และไม่ยุ่ยละลายไปมากนัก นับเป็นวิธีใช้สบู่ได้อย่างคุ้มค่าที่สุดวิธีหนึ่ง ใครจะลองเอาไปใช้ดูก็ไม่เสียหายอะไร แต่แม้จะใช้อย่างประหยัดถึงเพียงนั้น ในวันที่สบู่หมด และไม่อาจหามาเพิ่มได้ พวกสหายก็มีวิธีการเอาตัวรอดในป่า โดยไปตัดเอาเครือไม้ชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า “เครือมะ” เป็นเครือไม้ขนาดใหญ่มีลักษณะบิดเป็นเกลียว พบเห็นได้ทั่วไปในป่าแทบทุกแห่ง ตัดมาสักท่อนหนึ่งเอามาแบ่งปันกันใช้ไปได้หลายเดือน วิธีใช้อาจจะยุ่งยากสักนิด คือ จะต้องตัดเครือมะนี้ออกเป็นชิ้น ๆ ขนาดเหมาะมือ แล้วเอามาทุบด้วยไม้ ระหว่างทุบเครือชนิดนี้จะเกิดฟอง ให้เอาเครือไม้จุ่มน้ำแล้วบิดเอาแต่ฟองของมันใส่กระป๋องไว้ แล้วใช้ถูตัวเหมือนสบู่เหลว แม้จะไม่มีกลิ่นหอม มีแต่ฟองลื่น ๆ คล้ายสบู่ และมีกลิ่นแบบธรรมชาติของเครือไม้ ก็นับว่าสามารถใช้แก้ขัดยามขาดแคลนสบู่ได้เป็นอย่างดี ใช้ได้ทั้งถูตัว สระผม และยังซักผ้าได้อีกด้วย เรียกว่าสบู่เอนกประสงค์โดยแท้ ในบางเขตงาน เช่นที่เขตภูร่องกล้า พวกเราสหายใหม่จากในเมืองพบว่า ชาวม้งนิยมเลี้ยงหมูไว้ทุกบ้าน น้ำมันหมูจึงมีเหลือเฟือกลายเป็นของหาง่าย จึงเกิดไอเดียบรรเจิดคิดจะผลิตสบู่ใช้เอง เพราะรู้มาว่า สบู่ทำมาจากการนำไขมันมาต้มกับด่าง จึงสั่งให้สหายในเมืองซื้อโซดาไฟ อันเป็นด่างเข้มข้นชนิดหนึ่งขึ้นมา แล้วจัดแจงเอามาผสมกับน้ำมันหมูแล้วต้ม ลองถูกลองผิดแบบศาสตราจารย์สติเฟื่องอยู่พักใหญ่ ก็สำเร็จเป็นสบู่ก้อนจนได้ ลักษณะของสบู่ที่ได้เป็นก้อนสีขาวขุ่น ๆ คล้ายก้อนชีส เนื้อหยุ่น ๆ ไม่แข็งคงรูปแบบสบู่จากโรงงาน แต่พอเอามาถูกับน้ำก็เกิดฟองได้เหมือนกัน พวกเราเรียกสบู่ภูมิปัญญาสหายนักศึกษานี้ว่า สบู่ตราลูกหมู เป็นคู่แข่งสำคัญกับสบู่หอมตราลูกไก่ ตัดแจกให้สหายคนละก้อนขนาดสบู่ทั่วไป ถ้าใส่กระปุกกระป๋อง เนื้อสบู่ลูกหมูจะยุ่ยจนเละ จึงต้องเอาเส้นตอกไม้ไผ่มัดแขวนไว้หัวนอน พอจะไปอาบก็หิ้วติดมือไปถูตัว หรือซักผ้าได้ แต่เนื่องจากในกระบวนการผลิตสบู่แบบชนิดนี้ ไม่เติมสารเคมีชนิดใด ๆ เลย และยังไม่มีหัวน้ำหอมใส่ สบู่ที่ได้จึงมีกลิ่นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตโดดเด่นอยู่เป็นอันมาก นั่นคือ กลิ่นของน้ำมันหมู เมื่อใช้ซักผ้า หรือถูตัวแล้ว กลิ่นตัวของเราจึงคล้ายกับกลิ่นตัวหมูไปด้วย ทำให้หมัดหมูที่ชอบอาศัยอยู่ตามป่าหลงกลิ่นเข้าใจผิด พากันเข้ามาเกาะกินเลือดของเราเป็นที่สนุกสนาน แต่สร้างความรำคาญให้กับเราทุกคืน มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่อยากเล่าสู่กันฟังแทรกไว้ตรงนี้ คือ เรื่องการอาบน้ำของพวกเราในป่า แม้ว่าโดยทั่วไป สถานที่ตั้งค่าย จะต้องคำนึงถึงความสะดวกของแหล่งน้ำเป็นอันดับต้น ๆ แต่การอาบน้ำกับพวกเรา มักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเสมอ แรก ๆ เราจะคุ้นเคยกับการอาบน้ำวันละอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ตามหลักสุขบัญญัติ 10ประการ บางคนอาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ พอมาอยู่ป่า ต้องอย่าลืมว่าบ้านหรือค่ายที่เราพักอยู่นั้น ต้องสร้างอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันการตรวจการทางอากาศ แสงแดดแทบส่องไม่ถึง ผนวกกับอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีของยอดภู น้ำในลำธารที่เราใช้อาบจึงเย็นยะเยือกเหมือนน้ำในตู้เย็น เรียกว่าไม่มีหน้าร้อน มีแต่หน้าหนาว กับหนาวมาก จากที่เคยอาบน้ำวันละหลายครั้ง พวกเราส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนกลับไปอีกด้าน คือ หลายวันจึงจะอาบน้ำกันสักครั้ง และเวลาอาบก็อาบกันอย่างรีบ ๆ ลวก ๆไม่ได้สระสรงขัดสีฉวีวรรณอะไรมากมายนัก อาบเสร็จต้องวิ่งเข้าหากองไฟด้วยอาการตัวสั่นงันงก เพื่อผิงไฟคลายหนาว และก็ต้องไม่ลืมว่า การใช้ชีวิตในป่าเช่นนี้ เราจะต้องใช้แรงงานกันทุกวัน วันละมาก ๆ ไม่ว่าจะตัดฟืน เป้ข้าว เป้ผัก ขุดดิน ทำสวน ทำไร่ ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเหงื่อและกลิ่นตัว แต่เมื่อไม่ได้อาบน้ำทุกวัน สิ่งที่ตกค้างจึงเป็นกลิ่นตัวที่ออกจะรุนแรง ประกอบเสื้อผ้าที่ตากไม่ค่อยจะแห้ง มักมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเพราะความอับชื้นอยู่เป็นนิจ เมื่อรวมสองกลิ่นนี้เข้าดัวยกัน จึงกลายเป็นกลิ่นเฉพาะของคนป่าที่ฉุนเฉียวเอาการ หากใครไม่คุ้นเคย พอสูดดมเข้าครั้งแรก เป็นต้องผงะถอยแทบทุกคน แต่เมื่ออยู่กันนานเข้า ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย สหายเก่าหรือสหายใหม่ ล้วนแล้วแต่มีกลิ่นกายเหมือนกันไปหมดทั้งค่าย เราจึงสามารถปรับตัวปรับกลิ่นเข้าหากัน จนไม่รู้สึกอะไรและกลมกลืนกันไปได้ในที่สุด ในส่วนของยาสีฟันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราขาดแคลนกันเป็นประจำ ดังที่เคยเล่าไปแล้วเรื่องแปรงสีฟัน ที่พวกเราชอบเอามาห้อยคอไว้เพื่อป้องกันการสูญหาย กลายเป็นเครื่องรางประจำตัวที่เก๋ไก๋ไปอีกแบบ สหายที่เข้าป่าไปใหม่ ๆ จะได้รับการกระตุ้นเตือนให้รักษาสุขภาพในช่องปาก โดยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีทุกครั้งหลังมื้ออาหาร มีทันตแพทย์ ทั้งที่เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย และที่เป็นสหายท้องถิ่นที่ไปร่ำเรียนวิชาทันตแพทย์จากประเทศจีน เป็นผู้ให้ความรู้และติดตามตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ เพราะการทำฟันในป่า นับเป็นอะไรที่วิบากมาก ขาดแคลนทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ และวัสดุต่าง ๆ ในการทำฟัน โรงพยาบาลประจำเขต ก็ใช่ว่าจะมีทันตแพทย์อยู่ประจำทุกแห่ง สหายที่มีปํญหาต้องทำฟัน อาจต้องเดินข้ามเขตงานครั้งละหลายวัน เพียงเพื่อไปถอนฟันเพียงซี่เดียว นับว่าสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานไม่น้อย หลังอาหารทุกมื้อ เราจึงจะเห็นบรรดาสหายทุกลำดับชั้น นั่งแปรงฟันกันอย่างพร้อมเพรียง เป็นภาพที่หากคนในเมืองมาเห็นเข้าอาจจะไม่เชื่อสายตา และแทบทุกคน จะแปรงโดยไม่ต้องใช้ยาสีฟันให้สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย คือ แปรงกันด้วยน้ำเปล่า ทันตแพทย์ของเราให้การศึกษาไว้อย่างชัดเจนว่า ยาสีฟันไม่ได้มีประโยชน์ในการป้องกันฟันผุอย่างที่เราโดนโฆษณาหลอกหลวงแต่อย่างใด การแปรงฟันทันทีทุกครั้งหลังมื้ออาหานั่นต่างหาก จึงจะเป็นการป้องกันฟันผุได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชา ถึงตรงนี้บางคนอาจนึกแย้งว่า ทำไมไม่ใช้เกลือแปรงฟันตามแบบคนโบราณเสียเล่า ก็ต้องชี้แจงว่า เกลือ ไม่ว่าจะเป็นเกลือสินเธาว์ หรือเกลือสมุทร นับเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพอันดับต้น ๆ ของพวกสหายในป่าภาคเหนือ กว่าจะหาเกลือมากินได้แต่ละเม็ด บางครั้ง อาจต้องแลกด้วยชีวิต ดังจะได้เล่าในตอนต่อ ๆ ไป ดังนั้น เกลือทุกเม็ดจึงมีไว้กินเพียงอย่างเดียว ไม่อาจนำมาใช้เพื่อการอย่างอื่นได้ ยาสีฟันหนึ่งหลอดขนาดกลาง พวกเราจะสามารถใช้อย่างประหยัดได้เป็นปี หรือปีครึ่ง เราจะใช้ยาสีฟันแปรงฟันเพียงวันละครั้ง หรือสองครั้งเท่านั้น คือ ก่อนนอน และตื่นนอน เวลาใช้ก็เปิดหลอดยาสีฟัน เอาปากหลอดมาแตะกับแปรงพอให้ติดเนื้อยาสีฟันเพียงนิดหน่อยให้พอมีกลิ่นเวลาแปรง ไม่ใช่บีบเนื้อครีมเสียยาวย้วยอย่างที่เราใช้สมัยอยู่ในเมือง อนึ่ง ในเขตแนวหลัง คือ หน่วยงานที่อยู่ในเขตประเทศลาว หรือชายแดน ลาว – จีน ที่การลำเลียงขนส่งข้าวของเครื่องใช้จากจีนเข้ามาได้สะดวก พวกเรายังมียาสีฟันจากประเทศจีนใช้อีกด้วย ที่จำได้ชัดเจนมีอยู่ยี่ห้อหนึ่งหลอดสีเหลือง ๆ เป็นยาสีฟันรสกล้วยหอม เวลาแปรงจะได้รสชาติหอมหวานเหมือนกินกล้วยหอมเชียวละ พวกเด็กนักเรียนในโรงเรียนแนวหลังบางคน ถึงกับแอบเอายาสีฟันชนิดนี้มาบีบกินแทนขนมอย่างเอร็ดอร่อยไปเลย คราวนี้ก็มาถึงสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจจะมองข้าม นั่นคือ กระดาษทิชชู ที่ทุกคนต้องใช้ทุกวันหลังเสร็จจากภารกิจที่ธรรมชาติเรียกร้อง แน่นอนว่า ไม่มีใครที่ไหนจะบ้าขนกระดาษทิชชูจำนวนมหาศาลส่งเข้าป่าเข้าดงไปให้สหายนักศึกษาเหล่านี้ไว้เช็ดชำระเป็นแน่ และกระดาษชนิดนี้ ก็เป็นประเภทใช้แล้วทิ้ง ไม่อาจจะรียูสนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เมื่อกระดาษที่พวกเราบางคน ขนเข้าไปจากในเมืองหมดลง หมดแล้วจึงหมดเลย จำต้องหาวัสดุอื่นมาใช้ทดแทน สิ่งแรกที่พวกเราคิดถึงก็คือ กระดาษ ทั้งกระดาษจากหนังสือหนังหาที่พกพาเข้าไป แต่หนังสือไม่ว่าจะเป็นหนังสือชนิดใด นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเราในป่าเชียวละ เพราะเราไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่านนัก หนังสือพิมพ์ฉบับเก่าข้ามปีบางฉบับที่พอจะหลงเหลืออยู่ พวกเราก็หยิบยืมกันอ่านเสียจนแทบจะจำได้หมดทุกตัวอักษร การจะฉีกหนังสือมาใช้แทนกระดาษชำระจึงออกจะทำร้ายจิตใจมิตรสหายนักอ่านมากไปสักหน่อย เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมทางการศึกษาเชียวละ ใครบังอาจทำเช่นนั้นอาจถูกวิจารณ์จนเสียหายได้ไม่ยาก ส่วนกระดาษสมุด แม้จะไม่มีเนื้อหาอะไรให้เสียดาย แต่กระดาษเปล่า ๆ ว่าง ๆ ก็นับเป็นวัสดุหายากและสมควรจะถนอมหวงแหนไว้ ทั้งเพื่อเขียนจดหมายถึงบ้าน หรือแม้แต่เขียนบันทึกประจำวันของแต่ละคน การใช้กระดาษสมุดแทนกระดาษชำระ จึงเป็นอันตกไปเช่นกัน จึงมาถึงวัสดุที่มีอย่างดกดื่นตามธรรมชาติ นั่นคือ ใบไม้ใกล้มือ ก่อนจะว่ากันถึงเรื่องนี้โดยละเอียด คงต้องเข้าใจสภาพส้วมของเราที่ใช้กันในป่าเสียก่อน แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ส้วมชักโครกนั่งสบายถ่ายสะดวก และก็ไม่ใช่ส้วมซึมนั่งยอง ๆ เป็นแน่ ส้วมของพวกเราเป็นส้วมหลุมสร้างกันง่าย ๆ ถึงบทจะต้องย้ายก็ไม่เสียดาย คอมมิวนิสต์แม้จะมีจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ คิดหวังสร้างสังคมแห่งอุดมการณ์ที่ไร้การกดขี่เลิศหรูอลังการ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับประเทศคอมมิวนิสต์ที่สุด คือ การสร้างส้วมให้ทันสมัยไร้กลิ่น จะเห็นได้จากส้วมในประเทศสังคมนิยมทั่ว ๆ ไปที่มักมีชื่อเสียงในด้านลบด้านความสะอาดปราศจากกลิ่น คอมมิวนิสต์ไทยในป่าก็พลอยผสมโรงเป็นไปกับเขาด้วย ในป่า เมื่อสร้างสำนักเสร็จ เราก็หาทำเลสร้างส้วม โดยต้องสร้างให้ห่างจากค่ายพักออกไปพอสมควร ให้ไกลพอที่จะไม่ให้ภาพและกลิ่นอันไม่พึงปรารถนามารบกวนชีวิตในค่ายได้ โดยต้องแยกกันอย่างเด็ดขาดระหว่างส้วมของสหายชายและสหายหญิง ดังนั้น ระยะทางระหว่างตัวสำนัก ถึงส้วม อาจต้องเดินหลายนาทีกว่าจะถึง เวลาธรรมชาติเรียกร้อง จึงต้องเผื่อเวลาในการเดินทางไว้พอสมควร ไม่งั้นอาจมีขบวนรถด่วนหลุดรอดตกรางออกมาเสียก่อนจะถึงจุดหมาย และยังมีข้อพึงระวังอีกอย่างคือ การเข้าส้วมในยามวิกาล ต้องจดจำเส้นทางให้ดี ไม่งั้นเมื่อเสร็จกิจ อาจมีรายการหลงป่าเดินกลับไม่ถึงสำนักก็เป็นได้ พอได้ทำเลอันเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมแก่การสร้างส้วมแล้ว ก็ขุดดินลงไปให้ลึกลงไปเป็นคูยาว บางแห่งอาจจะลึกเพียงเอว แต่ส่วนใหญ่นิยมขุดให้ลึกเกือบ ๆจะท่วมหัวคนขุดนั่นแหละ ยิ่งลึกยิ่งดี ส่วนจะยาวแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสหายในสำนักว่ามีมากน้อยเพียงใด จากนั้นก็ตัดต้นไม้มาวางพาดปากหลุม เว้นช่องไว้สำหรับนั่งทำธุระให้มีระยะพอดี ไม่แคบจนถึงสร้างความยากลำบากให้กับการเล็งเป้า แต่ก็ต้องไม่กว้างเสียจนผู้ถ่ายทำอาจจะพลาดตกลงไปเบื้องล่างได้ ส้วมหลุมจำลอง ที่สร้างแสดงไว้ในค่าย 514 จำลอง สภาพของส้วมหลุมจะมีลักษณะดังในภาพ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีบังตากั้นระหว่างหลุม ถ้าสหายคนที่สร้างส้วมมีความพิถีพิถันสักหน่อย ก็อาจสร้างฉากบังตาระหว่างหลุมต่อหลุมด้วยใบไม้สักนิด เพื่อไม่ให้อุจจาดตาเกินไป แต่หากสหายคนสร้างส้วมนิยมชมชอบความอิสระเสรี ฉากกั้นระหว่างหลุมก็ถูกจัดเป็นของฟุ่มเฟือย ดังนั้น สภาพของสหายนั่งเรียงเคียงกันในสภาพก้นขาวโพลนเป็นแถวเป็นแนว และแต่ละคนต่างก็ทำธุระพร้อมกับคุยกันด้วยเรื่องเฮฮา หรือสนทนาปัญหาบ้านเมือง หรือถกเถียงกันถึงปัญหาปรัชญาสังคมนิยมอย่างลุ่มลึกไป จึงเป็นกิจวัตรที่เราเห็นจนชินตา ใหม่ ๆ พวกเราสหายจากในเมือง ทั้งชายและหญิง เจอสภาพนั่งเรียงโชว์ก้นกันโล่ง ๆ แบบนี้เข้า บางคนถึงกับยอมกักกลั้นอั้นเก็บไว้ถ่ายในตอนมืด ๆ ดึก ๆ เพราะอายก้นลาย ๆ ของตัวเอง แต่พออยู่ไปสักพัก เริ่มคุ้นเคยกันสักหน่อย ความอายแบบไร้สาระเหล่านี้ ก็ค่อยจางลง กลายเป็นว่า นั่งคุยกันไปทำธุระกันไปอย่างสบายใจเชียวละ ส้วมหลุมที่เราใช้นี้ แม้สหายหลายคนจะทำฝาปิดไว้อย่างมิดชิด แต่ก็ไม่เคยปิดกั้นอะไรได้จริงจังสักครั้งโดยเฉพาะพวกแมลง ส้วมหลุมของเราจึงเป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อนของเหล่าแมลงในป่าที่แสนจะอุดมสมบูรณ์ หนอนนานาชนิดจะฟักตัวยั้วเยี้ยอยู่ในสิ่งขับถ่ายของเราที่รอการย่อยสลายอยู่เบื้องล่าง การก้มมองลงไปในหลุมส้วมจึงนับว่าเป็นฝันร้ายที่พวกเราพากันหลีกเลี่ยง สู้นั่งคุยกันไป ชมนกชมไม้รอบ ๆ ตัวทำใจให้เบิกบานยังดีกว่าเป็นไหน ๆ ส้วมของบางสำนักที่นักศึกษาผู้มีอารมณ์สุนทรย์เป็นผู้สร้าง ยังอุตส่าห์เลือกทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาสวย ๆ ขณะนั่งขับถ่ายจะเห็นพระอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขึ้นมาจากแนวเขา สาดแสงสีทองเลื่อมรายระยับ เจ้าของไอเดียบรรเจิดนี้ถึงกับคุยโอ่ว่า ส้วมในสำนักของตนเป็นส้วมที่สวยที่สุดในโลก และคนที่เคยไปใช้บริการส้วมแห่งนั้นหลายคน ต่างพร้อมใจกันยกนิ้วยอมรับ ย้อนกลับมาถึงเรื่องใบไม้ใกล้มือที่ค้างไว้บ้าง สหายบางคนพิถีพิถันกับการเลือกใบไม้ที่จะใช้เช็ดชำระหลังภารกิจขับถ่าย ถึงขนาดเดินสำรวจทั่วบริเวณใกล้ ๆ ส้วมไว้ล่วงหน้าว่า มีใบไม้ชนิดใดเหมาะสมกับภารกิจนี้ และกำหนดสเป็คของใบไม้ที่ดีที่จะนำมาชำระไว้คือ ต้องมีขนอ่อน ๆ เพื่อความสะอาดของการเช็ดชำระ ทั้งยังต้องมีความอ่อนนุ่มประดุจผ้ากำมะหยี่ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อปราการด่านสุดท้าย ซึ่งจากคุณสมบัติข้างต้นนี้ เราเห็นเป็นเอกฉันท์ยกให้ใบไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่ปรากฎชื่อ เป็นใบไม้จากไม้พุ่มขนาดกลางชนิดหนึ่งที่งอกอยู่ทั่วไปในป่า ใบสีเขียวเข้มสลับเขียวอ่อน เส้นกลางใบมีสีแดง ด้านบนมีขนนุ่ม ๆ ปกคลุม และมีขนาดใบกำลังเหมาะมือ เพื่อความมั่นใจ ถึงกับลองทดสอบคิวซี โดยลองเอาถูกับท้องแขนของเรา ก็ให้สัมผัสที่นุ่มเนียนดี และไม่เกิดผื่นคัน หรืออาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ เราจึงพร้อมใจให้เกียรติเรียกใบไม้ชนิดนี้ว่า ใบทิชชู ทุกครั้งที่มีธุระปะปังจะต้องใช้บริการห้องส้วม เราจะต้องสละเวลาอันมีค่าแวะไปเด็ดใบทิชชูที่ว่านี้ ติดมือไปด้วยครั้งละ 5-10 ใบ แต่เมื่อจำนวนประชากรนักศึกษาเพิ่มขึ้น ใบทิชชูอันเป็นที่ต้องการของสหายก็เริ่มขาดแคลน พวกเราจึงลงสัตยาบันร่วมกันว่า ให้ถือเป็นหน้าที่ของสหายทุกคน ในอันที่จะอนุรักษ์ใบไม้ใกล้มือชนิดนี้ไว้ ให้มีใช้ต่อไปนานเท่านาน จนกว่าการปฏิวัติของเราจะสำเร็จ หรือจนกว่าเราจะมีโรงงานผลิตกระดาษทิชชูขึ้นใช้ได้เองบนฐานที่มั่น วันหนึ่ง สหายยิงเก้งขนาดเขื่องมาได้ตัวหนึ่ง สหายอีสานคนหนึ่งในสำนักนั้น จึงอาสาแสดงฝีมือทำต้มเครื่องใน หรือต้มแซ่บ ตำรับดั้งเดิมแบบอีสานขนานแท้ แต่เนื่องจากเขตที่เราอยู่นั้น เป็นเขตของชนชาติม้ง เครื่องต้มยำจึงมีไม่ครบ ต้องแบ่งกำลังสหายหลายคนเป็นหน่วยไล่ล่าหาวัตถุดิบ บางคนต้องเดินทางข้ามหลายลูกภู เพื่อไปหาตะไคร้ บ้างก็เดินไปกลับครึ่งค่อนวันเพื่อหาใบมะกรูด และมะนาว การคิดจะกินอาหารแปลก ๆ บนภูนับเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาและแรงงานอย่างยิ่ง แต่เพื่อเมนูเด็ดที่ร้อยวันพันปีจึงจะมีโอกาสได้ลิ้มลองสักครั้ง พวกเราต่างพร้อมยอมพลีพลังแรงกายโดยไม่มีใครปริปากบ่นแม้แต่คนเดียว เป็นความรู้ใหม่ของสหายชาวกรุงว่า ต้มเครื่องในสัตว์ตระกูลเคี้ยวเอื้อง ไม่ว่าเก้ง กวาง ไปตลอดจนถึงวัวหรือควาย ถ้าจะให้อร่อยเหาะตามสไตล์อีสาน จะต้องใส่ขี้เพรี้ย หรือขี้อ่อน อันได้แก่อาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้ของสัตว์นั้น ๆ ลงไปด้วย และยังต้องเติมน้ำดีให้มีรสชาติขมปะแล่ม ต้มเครื่องในหม้อนั้นจึงจะ “นัว” หรืออร่อยสุดยอด ใช้เวลาร่วมวัน ต้มเครื่องในเก้งหม้อใหญ่จึงสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี พวกเราได้ลิ้มลองเมนูเด็ดด้วยความอิ่มหมีพีมันกันทุกคน ต่างยกนิ้วหัวแม่มือให้กับรสชาติอันเฉียบขาดของต้มเครื่องในใส่ดีเติมขี้เพรี้ย สูตรอีสานหม้อนั้นกันโดยถ้วนหน้า ดูเหมือนสหายชูชัย สหายหนุ่มแว่นหนาเตอะจากรั้วมหิดล จะถูกใจรสชาติของอาหารเย็นจานเด็ดของพ่อครัวหัวป่าก์ชาวอีสานเป็นพิเศษ จึงกินเข้าไปมากกว่าใครเพื่อน เวลาผ่านไปเพียงครึ่งคืน พวกเราหลายคนเริ่มไม่สบายในท้อง เกิดความปั่นป่วนเหมือนจะมีพายุใหญ่โถมซัด เรางัวเงียลุกจากที่นอนโดยไม่ได้นัดหมาย ทั่วทั้งค่ายเหมือนตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินโดยไม่ต้องมีสัญญาณนกหวีด แสงไฟจากไฟฉายส่องส่ายไปทั่ว จุดหมายปลายทางจะเป็นที่อื่นไปไม่ได้ นอกจากทิศทางสู่ห้องสุขาของค่าย แม้จะจวนเจียนอย่างไร พวกเราก็ไม่ลืมที่จะแวะที่ต้นทิชชูหวังเด็ดใบไปใช้รองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้ แต่พอฉายไฟไปที่ต้น เราก็ใจหายวาบ ต้นทิชชูที่เราสู้อุตส่าห์ลงสัตยาบันร่วมกันอนุรักษ์ไว้ บัดนี้ถูกมือดีตัดไปทั้งต้น เหลือแต่ตอทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ แต่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนั้น เราไม่มีเวลามาอาลัยอาวรณ์อะไรมากนัก บางคนที่จวนเจียนจะเพลี่ยงพล้ำต่อข้าศึก วิ่งต่อไปยังจุดหมายปลายทางโดยไม่สนใจจะไขว่คว้าใบไม้อะไรติดมือแม้แต่ใบเดียว บางคนที่ยังพอมีกำลังต้านทานเหลืออยู่บ้าง ก็รูดเอาใบไม้เท่าที่พอฉวยได้ข้างทางติดมือไปแก้ขัด คืนนั้น พวกเรานั่งเรียงแถวอวดก้นขาวบ้าง ดำบ้าง ด่างบ้าน เต็มอัตราทุกหลุม หลังจากปลดเปลื้องพันธนาการทั้งหลายทั้งปวงไปแล้ว ก็เพิ่งคิดถึงชะตากรรมของต้นทิชชูต้นไม้แสนรักของเรา “ใครฟันต้นทิชชูจนเหลือแต่ตอวะ” หัวหน้าหมู่สหายชายเริ่มกระบวนการไต่สวน ทั้ง ๆ ที่ยังนั่งทำธุระอยู่บนหลุมส้วม “นั่นสิ เล่นฟันกันทั้งต้นอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน อย่าให้เจอตัวเชียวนะ...” สหายร่วมฐานปฏิบัติการอีกคนเห็นพ้อง “แหะ ๆ ผมเองแหละสหาย” เสียงของสหายชูชัยดังมาจากหลุมด้านในสุด เราเพิ่งสังเกตว่า สหายชูชัยนั่งบำเพ็ญตบะอย่างคร่ำเคร่งและเงียบงำอยู่ในมุมมืดด้านใน “ผมท้องเสียตั้งแต่ไม่ทันสามทุ่ม รู้แน่ว่าโดนต้มพุงหม้อนั้นเล่นงานเอาเสียแล้ว..” สหายชูชัยพูด มีเสียงเอฟเฟ็คคล้ายเสียงปืนกลเบาดังประกอบอย่างเร้าอารมณ์ “พอผมวิ่งเป็นครั้งที่สาม ก็ไม่มีแก่ใจจะมัวเด็ดทีละใบเสียแล้ว ก็เลยตัดมันมาทั้งต้น อยู่นี่ไง..” สหายชูชัยส่องไฟฉายในมือไปที่กิ่งต้นทิชชูที่กองอยู่ใกล้ ๆ “ผมคิดแล้วว่าคืนนี้ ยังไงพวกเราคงต้องใช้จนหมดต้นอยู่แล้ว กลัวว่าบางคนจะเด็ดไม่ทัน ก็เลยตัดมาเตรียมไว้เสียที่นี่เลย” สหายชูชัยพูดทิ้งท้ายแสดงความหวังดีอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมกับที่เสียงเอฟเฟ็คดังขึ้นอีกชุดใหญ่ ประหนึ่งเสียงยิงสลุต สดุดีความมีน้ำใจของสหายชูชัย. ในภาพคือ "ใบช้างร้อง" ใบไม้ต้องห้าม ไม่ควรหยิบจับเป็นอันขาด การสัมผัสใบไม้ชนิดนี้ ทำให้เกิดอาการแสบคัน ขนาดช้างยังร้อง.. มีเรื่องเล่ากันว่า สหายบางคนเอาใบไม้นี้ ไปใช้แทนกระดาษชำระ ผลจะเป็นอย่างไร แค่นึกภาพก็สยองเสียแล้ว... ***********************************