Bugatti Royale บูกัตติ โรเยล หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ Bugatti Type41 บูกัตติ ไทพ์ 41 เป็นรถยนต์ระดับหรูหรา ( Luxury car ) ที่ผลิตในช่วง 1927 - 1933 ที่ในช่วงแรกของการวางแผนการผลิต Ettore Bugatti ( ผู้ฮอกแบบ และผู้ผลิต ) จะสร้างรถรุ่นนี้ออกมาถึง 25 คัน เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลชั้นสูงในราชวงศ์ ( Royalty ) แต่เนื่องจากสถาวะการตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงปี 1930 - 1940 ที่เรียกว่า Great Depression ทำให้ทาง บูกัตติ สามารถขายรถรุ่นดังกล่าวได้เพียง 3 คันเท่านั้น จากที่ผลิตออกมา 6 คัน
Today ทำให้ในปัจจุบันรถ บูกัตติ โรเยล(Bugatti Royale) คือสุดยอดรถหรูหรา ขนาดใหญ่ที่หายากที่สุด และเป็นที่ต้องการอย่างสูงของอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก จึงทำให้มันเป็น รถ แพงที่สุดในโลก เป็นรองก็เพียงแต่ Bentley State Limousine รุ่นปี 2002 ที่มีเพียง 2 คันในโลกที่ผลิตให้แก่ ควีนอลิซาเบธที่ 2 เท่านั้น

ข้อมูล เกี่ยวกับ บูกัตติ โรเยล(Bugatti Royale)

ผู้ผลิต บูกัตติ ( Bugatti ) ชื่อเรียกที่รู้จักกันทั่วไปของรถรุ่นนี้คือ บูกัตติ โรเยล (Bugatti Royale) ช่วงที่มีการผลิตรถรุ่นนี้ 1927 - 1933 จำนวนที่ผลิตทั้งสิ้น 6 คัน เครื่องยนต์ แบบ 8 สูบ ขนาด 12,763 ซีซี ( cc ) ระบบเกียร์ เป็นกระปุก 3 สปรีด ช่วงล้อประมาณ 4.3 เมตร ความยาวประมาณ 6.4 เมตร น้ำหนักรถ 3,145 กิโลกรัม ( kg. ) รถขายในช่วงปี 1929 - 1931 เป็นเงินประมาณ 41,000 เหรียญสหรัฐ ( ประมาณเป็นเงินในปัจจุบัน 16.38 ล้านบาท ) ซึ่งทำให้มันขายได้เพียง 3 คัน จาก 6 คันที่ได้มีการผลิตออกมา

ค้นหา รถในตำนานทั้ง 6 คัน

คันที่แรกมีรหัสว่า 41.110 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Coupe Napoleon ทางEttore Bugatti เก็บไว้เอง ปัจจุบันตั้งโชว์อยู่ที่พิพิธภัณฑ์รถ Musée National de l'Automobile de Mulhouse ในเมือง Mulhouse ประเทศฝรั่งเศล (France) คันที่สองมีรหัสว่า 41.111 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Coupe de Ville Binder ขายได้ในปี 1932 เศรษฐีเจ้าของธุรกิจเครื่องนุ่งห่มชื่อว่า Armand Esders และมีการขายต่ออีกเป็นทอดจนในปี 1999 ทางเจ้ากิจการใหม่ของรถบูกัตติ คือบริษัท Volkswagen AG ได้ทำการซื้อคืนในราคา 700 ล้านบาท ( 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ) เพื่อใช้ในนำออกแสดงตามสถานที่ต่างเพื่อเป็นกการประชาสัมพันธ์ และโปรโมตบริษัทฯ คันที่สาม มีรหัสว่า 41.121 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Cabriolet Weinberger ขายให้แก่แพทย์ชาวเยอรมัน นามว่า Josef Fuchs ต่อมาในปี 1946 มันถูกค้นพบในสุสานรถในนิวยอร์ค และถูกซื้อต่อมาด้วยราคาเพียง 14,000 บาท ( 400 เหรียญ ) โดยนาย Chayne โดยเขาได้ทำการซ่อมบำรุงจนสามารถกับมาวิ่งได้อีกครั้งหนึ่ง และในปี 1957 เขาได้บริจาค รถคันนี้ให้แก่พิพิธภัณฑ์ Henry Ford Museum รัฐ Michigan ประเทศสหรัฐอเมริกา และปัจจุบันยังคงตั้งแสดงอยู่ที่นี้ คันที่สีมีรหัสว่า 41.131 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Limousine Park-Ward ในครั้งแรกขายให้แก่ เจ้าของห้างใหญ่ในสหรัฐอเมริก นามว่า Cuthbert W. Foster เพื่อใช้เป็นพาหนะให้แม่ของเขา แลได้ขายต่อกันมาอีกหลายทอดปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์รถ Musée National de l'Automobile de Mulhouse เมือง Mulhouse ประเทศฝรั่งเศล (France) เคียงข้างอยู่กับ41.110 คันที่ห้า มีรหัสว่า 41.141 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Kellner Car ขายไม่ได้ในช่วงแรกจึงถูกเก็บรักษาโดยทางครอบครัวของบูกัตติ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงขายให้แก่ นักแข่งรถชื่อว่า Briggs Cunningham พร้อมกันทั้งสองคันคือ 41.141 และ 41.150 ด้วยราคาที่แสนถูก แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยราคาทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็นแถมให้ไปด้วยอีกต่างหาก และถูกขายต่อกันไปอีกหลายทอดปัจจุบันไม่เป็นที่เปิดเผยแน่ชัดว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่มันได้ปรากฏตัวครั้งสุดท้ายที่ Swiss broker Lukas Huni คันที่หก มีรหัสว่า 41.150 หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Berline de Voyage ในช่วงแรกขายไม่ออก ต่อมาถูกขายไปพร้อมกับโมเดล 41.141 ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Blackhawk Museum รัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา

เปิดตำนาน รถ แพงที่สุดในโลก

Christie's auction คริสตี้ส์ ลอนดอน ได้เปิดประมูล รถบูกัตติ โรเยล(Bugatti Royale) ในปี 1987 และผู้ชนะการประมูลไ้ด้ประมูลรถคันดังกล่าวไปด้วยราคา 304.5 ล้านบาท ( 8.7 เหรียญสหรัฐ ) ซึ่งเป็นราคารถประมูลที่สูงที่สุดในโลก และเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ รถ แพงที่สุดในโลก (ประมูล)
wowboom
Volkswagen AG ได้ทำการซื้อคืนในราคา 700 ล้านบาท ( 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ) เพื่อใช้ในนำออกแสดงตามสถานที่ต่างเพื่อเป็นกการประชาสัมพันธ์ และโปรโมตบริษัทฯ เป็นการเปิดตำนาน รถ แพงที่สุดในโลก