การข้อมูลต่อไปนี้เป็นการนำความรู้เล็กๆน้อยๆจากตัวผมเองและข้อมูลที่สำคัญที่รวบรวมจากหลายเว็บไซด์
เพื่อเป็นการตัดสินใจก่อนที่จะลงมือทำ พอดูแล้วหลายคนอาจบอกว่าทั้งชีวิตนี้ไม่คิดจะทำหรอก
บางคนอาจกำลังคิดจะทำ แต่พอดูแล้วไม่กล้าทำ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งละที่เคยทำแบบนี้มาบ้าง
เล็กน้อย (แต่ไม่ถึงกับHardcoreเท่าไหร่) ความจริงอยากจะทำก็ทำได้
เพียงแต่ต้องคิดหลายๆรอบหน่อย ทั้งเรื่องความสะอาดของอุปกรณ์และร้าน
ระดับความเหมาะสมของตัวคุณและการดูแลรักษาร่างกายของคุณ
เอาเป็นว่าขอพูดถึงเรื่องที่มันหนักขึ้นมานอกเหนือจากการสักแล้วยังมีอื่นๆอีกหลายอย่าง
ที่พวกฝรั่งExtremesทั้งหลายเขาไปทำมา
การฝังซิลิโคนตามร่างกาย
ถ้าพูดถึงซิลิโคนหลายคนคงนึกถึงการทำศัลยกรรมหน้าอก นอกจากการทำศัลยกรรมหน้าอกแล้วมนุษย์หัวใสที่ไม่หยุดนิ่งกับความคิด ยังนำมาดัดแปลงประยุกต์กับการสักเพื่อให้เกิดมิติขึ้นมาจากเดิมที่ดูเหมือนภาพแบนๆทั่วไป
จากภาพชายผู้นี้คือ Lane Jensen และเป็นผลงานการสร้างช่างสักที่ชื่อEdmonton แต่การฝังแบบนี้ย่อมทำให้เกิดปัญหาต่อร่างกาย ผลลัพธ์คือร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา หลังจากนั้น2อาทิตย์Jensenก็ต้องได้รับการรักษาเพราะร่างกายเขาเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน น้ำเหลืองไหลออกมาจากแผลเป็นลิตร!!! ซึ่งบอกได้เลยว่าของแบบนี้ไม่สามารถทำได้กับทุกคน
การผ่าลิ้น
การผ่าลิ้นสองแฉก (tongue bifurcation หรือ tongue splitting) โดยการผ่าจากปลายลิ้นไปทางโคนลิ้น ซึ่งนอกจากทำให้ดูแปลกแล้ว ยังเชื่อว่าช่วยรสชาติการจูบ และบางคนสามารถกระดกลิ้นทั้งสองแฉกนี้ไปคนละทางกันก็ได้ การผ่าลิ้นเช่นนี้ถือว่าผิดกฎหมายในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา และห้ามทหารทำ ศัลยแพทย์ก็ไม่รับทำด้วยจึงต้องแอบทำกันเอง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนและบางรายที่ฉีดยาชากันเอง ก็อาจแพ้ยาชาถึงเสียชีวิตได้
แผลที่ได้จากการผ่าลิ้น น่ากลัวใช่มั้ยครับ
การเจาะร่างกาย
การเจาะตามร่างกายมีมานานกว่า 5000 ปีแล้ว เช่น ฟาโรห์แห่งอียิปต์เจาะและฝังเครื่องประดับที่สะดือ ทหารโรมันเจาะที่หัวนมเพื่อ บ่งบอกถึงความเข้มแข็ง ชาวมายันนิยมเจาะที่ลิ้น ฯลฯ ส่วนผู้ต้องขังที่ว่างมาก เกินไป ไม่มีอะไรจะทำ ก็หันมาเจาะเลียนแบบตามนักร้องและนักแสดง ข้อเสียของการเจาะมีมากมาย เพราะ นอกจากจะไปรบกวนเครื่องตรวจจับโลหะของเรือนจำแล้ว ก็ยังก่อปัญหาเรื่องการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบและเชื้อไวรัสเอดส์ และ เสี่ยงต่อการอักเสบเป็นหนอง สิ้นเปลืองงบประมาณของเรือนจำในการรักษา
การเจาะในบ้านเราจริงๆแล้วมีกันอยู่ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าจนไปถึงตลาดแบบโอเพ่น ส่วนโรคที่มากับการเจาะคนส่วนมากจะนึกถึงแต่โรคเอดส์และกลัวการใช้เข็มร่วมกัน แต่ยังมีอีกโรคนึงที่คุณอาจคาดไม่ถึง โรคนั้นก็คือไวรัสตับอักเสบ ซึ่งโดยปกติไม่อาจฆ่าเชื้อได้ด้วยแอลกอฮอลล์ ดังนั้นการเจาะร่าง กายจึงไม่ควรที่จะใช้เข็มร่วมกัน จาภาพที่นำแนะจะเห็ได้ว่าเป็นการเจาะที่แปลกๆอีกชนิดนึงที่นิยมทำกันในกลุ่มการโชว์แนวUnderground เขาจะใช้ตะขอสแตนด์เลสในการเจาะแขวน
แผลเป็นที่เกิดจากการติดเชื้อจากการเจาะหู
การเจาะอีกประเภทหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นการทำให้ร่างกายเสียโฉมมากกว่าที่จะเรียกว่าสวยงาม ซึ่งมันเริ่มต้นมาจากชนเผ่าMursiในประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าผู้ใดที่มีเครื่องประดับที่ปากที่ใหญ่ที่สุดผู้นั้นจะเป็นคนที่สวยที่สุด(ผมขอเป็นคนน่าเกลียดดีกว่า) คราวนี้ขอเรียกเครื่องประดับนี้ว่าจุกก็แล้วกันนะครับ เด็กผู้หญิงในเผ่าจะเริ่มยัดเจ้าจุกนี่ลงบนริมฝีปากตั้งแต่อายุยังน้อยและจะขยายมันขึ้นเรื่อยๆตามอายุของพวกเธอ แต่จะไปเพิ่มให้ใหญ่ในครั้งเดียวเพราะถ้าหญิงคนใดที่ปากเกิดฉีกขาดขึ้นมาก็จะไม่มีใครรับเป็นภรรยา
การกรีดผิวหนังหรือการทำสการ์
การทำสการ์เดิมทีแล้วมีต้นกำเนิดมาจากชนเผ่าในทวีปแอฟริกาซึ่งปัจจุบันเองก็ยังมีให้เห็นอยู่ การทำสการ์ของชนเผ่าเป็นการทำเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงการก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว นอกเหนือจากการแสดงความเป็นชายแล้วยังบ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ของผู้ทำอีกด้วย ในกลุ่มชนเผ่าส่วนมากนิยมทำสการ์บนใบหน้า,หน้าอกและแผ่นหลัง ซึ่งขณะทำพิธีผู้ถูกกระทำต้องแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านความเจ็บปวดด้วยการไม่ร้องหรือเปล่งเสียงแสดงความเจ็บปวดออกมา
สการ์ของแท้และดั้งเดิม
คราวนี้้รามาพูดถึงการทำสการ์ในกลุ่มชาวตะวันตกหรือชาวยุโรปกันบ้าง เท้าความไปถึงแต่เดิมคือการใช้เข็มเล็กๆ จิ้มผิวหนังซ้ำกันหลายๆ ครั้ง เช่นเดียวกับการปลูกฝี แต่ขณะนี้วัยรุ่นกลับนำมาใช้เพื่อให้ผิวหนังเกิดแผลเป็นตามรูปร่างที่กำหนด ซึ่งจัดเป็นการเสริมความงามอย่างหนึ่ง
เทคนิคเสริมสวยโดยทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังมีหลายแบบ เช่น การใช้ความร้อน (นำเหล็กเผาไฟจนแดงนาบผิวหนัง) เรียกว่า การตีตรา เทคนิคนี้เดิมใช้กับสัตว์เลี้ยงที่เป็นฝูงใหญ่ (เช่น วัว) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ปัจจุบันอาจใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์ทำให้เป็นแผลได้
อีกวิธีก็คือ การใช้มีดผ่าตัดกรีดผิวหนัง เรียกว่า การกรีด โดยกรีดลึกลงไป 1/2 นิ้ว คือ ลึกถึงชั้นหนังแท้ ผ่านไปหลายวันจะเกิดแผลเป็นตามรอยกรีด
มีช่วงหนึ่งพบผู้เสพยาเสพติดที่มีรอยกรีดตนเองบริเวณที่ท้องแขนได้บ่อย
ที่รุนแรงกว่านี้คือ การแล่ผิวหนังออกมาเป็นชิ้นๆ รวมถึงการทำให้เกิดแผลโดยใช้น้ำกรดหรือด่างกัดผิวหนัง ใช้หัวเจียระไนเพชรหรือหัวสลักแก้วขัดผิวหนัง
วิธีเหล่านี้เริ่มแรกนิยมจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ที่ชอบทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดและผู้ที่ชอบถูกทำให้เจ็บปวด และคนป่าบางเผ่า นอกจากนี้ก็มีผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตมักชอบสร้างแผลตามผิวหนังให้ตนเอง เรียกว่า โรคผิวหนังที่สร้างเอง ซึ่งจะมีแผลแปลกๆ ตามผิวหนังไม่เหมือนกับที่เกิดตามธรรมชาติ
ปัจจุบันมีการนำวิธีนี้มาใช้ตามร้านเสริมสวย แต่ที่สหรัฐอเมริกามีบางรัฐถือว่าผิดกฎหมาย บางรัฐก็ยังไม่ห้าม แต่ถ้าใช้เครื่องมือแพทย์ (เช่น การใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์) เพื่อทำให้เป็นแผลโดยผู้ทำให้ไม่ได้เป็นแพทย์จะถือว่าผิดกฎหมาย แต่ถ้าให้แพทย์ทำแพทย์ก็จะไม่ทำให้เพราะไม่จำเป็นและอาจเกิดผลเสีย
ความสยดสยองก่อนควาสวยงาม
บอกได้คำเดียวว่าเละ!!!
การทำให้เกิดแผลเป็นบางตำแหน่ง เช่น ที่กลางหน้าอกและหลัง แผลมักปูดโปนผิดปกติ ทำให้เป็นคีลอยด์ บางคนเป็นสิวเม็ดเดียวที่หน้าอกไปบีบแกะ ก็ยังเกิดคีลอยด์ก้อนโตขนาดผลมะนาวจนถึงผลส้มตามมาได้ การทำให้เกิดแผลนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นดังที่คิด แม้ผู้ที่ทำให้จะมีประสบการณ์เพียงใดเพราะถึงผู้ทำคนเดียวกัน และการแก้ไขรอยแผลเป็นก็ยากมาก เช่น ใช้การฉีดยาสตีรอยด์เข้าบริเวณแผล การฉายรังสี การจี้ด้วยความเย็นจัด การใช้แผ่นเจลปิด อย่างไรก็ดีแผลก็หายไม่สนิทซึ่งอาจมีผลกระทบตามมาภายหลังได้
การจัดตกแต่งฟัน
การจัดตกแต่งฟันในสไตล์ที่แปลกนอกเหนือจากการดัดฟันตามแฟชั่นแล้ว ยังมีให้เห็นกันในหมู่ชาวตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นการฝังเพชรหรืออัญมณีต่างๆลงบนฟัน และการตะไบฟันให้ดูเหมือนแวมไพร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วการตกแต่งฟันประเภทนี้มันมีต้นกำเนิดในแถบแอฟริกา เช่นการแสดงฐานะความมั่งคั่งของบุคคลด้วยการใช้ฟันปลอมที่ทำด้วยเงิน หรือทอง ไปจนถึงบางชนเผ่าที่แสดงให้เห็นถึงการก้าวล่วงสู่ความเป็นผู้ใหญ่(คล้ายๆกับการทำสการ์)
(ใครนำไปเผยแพร่ต่อ ขอเครดิตนิดนึงนะครับ จะได้เป็นกำลังใจ)