แผนลับดับโรมานอฟ (ตอนที่2)
(คำสารภาพของผู้ทรยศ)
[ครอบครัวโรมานอฟ สมัยที่พระธิดาและพระโอรสยังทรงพระเยาว์]
พระเจ้าซาร์ทรงให้ “โอลก้า” พระธิดาองค์โต ผู้เชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศสมากกว่าเจ้าฟ้าพระองค์ใดเป็นผู้ร่างจดหมายตอบ เพราะหากถูกจับได้ พวกทหารยามก็คงยังไม่อาจอ่านเข้าใจเนื้อความได้ในทันที เหตุการณ์เป็นไปได้ด้วยดี ถึงขนาดที่วางแผนว่า ทุกพระองค์จะทรงชุดสำคัญในการหนีไว้แม้เวลาบรรทม นั่นคือชุดที่พระราชินิทรงเจาะช่องพิเศษให้ใส่เครื่องเพชรและอัญมณีต่าง ๆ ไว้จนล้นปรี่ โดยเฉพาะตรงบริเวณบั้นพระองค์ที่จะหนาแน่นไปด้วยเพชรและพลอยเป็นพิเศษ สำหรับกันกระสุนปืน มีศัพท์รู้กันเฉพาะว่า “ทรงจัดยา”
เมื่อเตรียมองค์เสร็จสรรพแล้วก็ทรงนอนรอเสียงสัญญาณที่ “นายทหารผู้จงรัก” ในจดหมายนั้นบอกว่าจะมีขึ้นตอนกลางดึก ด้วยพระทัยเปี่ยมความหวัง เป็นเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า มีหลาย ๆ เช้า ที่ทุกพระองค์ตื่นมาเสวยพระกระยาหารเช้าร่วมกันด้วยใบหน้าอิดโรยหมองคล้ำ ความผิดหวังและความสงสัยอัดแน่นอยู่ในพระทัย แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเหตุใดความช่วยเหลือที่ว่านั้นจึงไม่มาเสียที
[เจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซีย วัย 17 ชันษา กำลังทรงหนังสือเก่า ๆ ภาพนี้ฉายก่อนสิ้นพระชนม์เพียง 4 วัน]
คำตอบนั้นถูกเปิดเผยอีกไม่กี่ปีจากนั้นว่า “มันคือแผนลวง” หลอกพระเจ้าซาร์ และครอบครัวให้ติดกับหลงเชื่อ และรับความช่วยเหลือนั้น ยิ่งมีลายพระหัตย์ตอบกลับยิ่งดี เพราะจะเป็นหลักฐานสำคัญที่พวกปฏิวัติจะได้ใช้ในการสังหารทุกพระองค์ได้อย่างชอบธรรม ในข้อหาผู้ทรยศ
แต่เมื่อไม่มีพระราชวงศ์องค์ใดล่วงรู้ จึงทรงอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกเท่าที่จะทำได้ ทรงให้กำลังใจซึ่งกันและกันยามหน้าสิ่งหน้าขวานและพยายามหาความสุขตามอัตภาพ ตามแต่ผู้คุมจะกรุณาให้ เป็นต้นว่า ทรงหนังสือเก่า ๆ ที่เหลือทิ้งไว้ในบ้าน สวดมนต์ร่วมกัน ทรงไดอารี่ ซึ่งสิ่งที่บันทึกนี้เอง ที่ต่อมาได้เป็นหลักฐานสำคัญให้นักประวัติศาสตร์ได้ล่วงรู้รายละเอียดในคฤหาสน์อิปาเตียฟในวันท้าย ๆ แห่งพระชนม์ชีพ
[ยาโคฟ ยูรอฟสกี้ ผู้ลั่นกระสุนนัดแรกปลิดชีพพระเจ้าซาร์ และเปิดฉากการสังหารหมู่]
ดูราวกับว่าได้มีลางมรณะเกิดขึ้นมาเตือนก่อนหน้าวันสังหารโหด โดยในคืนสุดท้ายอันจะเป็นคืนแห่งประวัติศาสตร์เลือดนั้น นายแพทย์บ็อตกิน ผู้อาสาตามเสด็จโรมานอฟมาตลอดโดยไม่เห็นแก่ความยากลำบากหรืออันตรายใด ๆ ได้เขียนไว้ในบันทึกของเขาว่า เขาได้ยินเสียง “ปาปุลยา” พ่อผู้เป็นที่รัก เรียกแว่วมาแต่ไกลและเชื่อว่าไม่ได้หูฝาด และเมื่อคืนวานซืนก็ได้ฝันเห็นหน้าของลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้วลอยมา เป็นในหน้าที่เสียชีวิตไปแล้ว ดวงตาปิดสนิท แล้วบันทึกนี้ก็ถูกทิ้งค้างไว้ ไม่เคยเขียนจบอีกเลย…
[ภาพสุดท้ายที่ครอบครัวอันแสนน่ารักนี้ได้ฉายร่วมกันในที่คุมขัง]
เมื่อเสียงกริ่งมรณะแผดลั่นกลางดึก นายแพทย์บ็อตกินต้องวางปากกา ลุกออกมาสมทบกับทุกคนนอกห้อง มียูรอฟสกี้รออยู่ เพื่อหลอกด้วยอุบายสกปรกว่า จะย้ายที่คุมขังและให้ทุกคนมาถ่ายรูปหมู่รวมกันก่อนที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งทุกพระองค์และทุกคนก็ให้ความร่วมมืออย่างดีแม้จะอยู่ในอาการง่วงงุนงงเหลือเกิน ต่างก็เข้านั่ง และยืน ประจำที่ตามแบบของขัตติยกษัตริย์ เพราะทุกองค์ทรงคุ้นกับการฉายพระรูปหมู่มาแล้วนับพันครั้ง
และสำหรับทุกเหตุการณ์ต่อจากนี้ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความทุกข์ทรมานอันไม่เคยสิ้นสุดของคนรับใช้คนหนึ่ง และเป็นเรื่องราวอันน่าสลดใจที่มนุษย์ด้วยกันจะพึงกระทำต่อกันได้ โดยการทำลายครอบครัวที่น่ารักสวยงาม และทำลายแม้แต่ “จิมมี่” สุนัขทรงเลี้ยงพันธุ์คิงชาร์ลสแปเนียลตัวน้อย
[วินาทีสังหาร ฝีมือจิตรกรฝรั่งเศสจากคำบอกเล่าของนายทหารเพชฌฆาต (17 กรกฎาคม 1918)]
ข้อหาของการสังหารในหมายประกาศที่ยูรอฟสกี้อ่านกรอกหูทุกคนก็คือ ” ทรงเป็นผู้ทรยศ” อันเป็นสิ่งที่นักปฏิวัติท้องถิ่นแห่งอูราลได้ยัดเยียดให้โรมานอฟทุกพระองค์ผ่านแผนลวงนั่น แล้วการประหารก็เริ่มต้นขึ้นอย่างทารุณโหดร้าย
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น พระเจ้าซาร์และพระราชินีสิ้นพระชนม์เกือบจะในทันที แต่พระธิดากับพระโอรสนั้นยังไม่สิ้นพระชนม์ เพียงแต่บาดเจ็บกันเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเพราะ “ยา” ที่พระมารดาทรงจัดไว้ให้นั่นเอง อัญมณีเหล่านั้นกลายเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน ทำให้ลูกปืนกระทบแล้วเบนบินไปทั่วห้อง ซึ่งในตอนแรกเหล่าทหารเพชฌฆาตบ้านนอกก็ตื่นกลัวกันมาก ต่างกล่าวว่า ครอบครัวพระเจ้าซาร์นั้น เป็นบุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าปกป้อง ทำให้กระสุนไม่ระคายพระวรกายเลย แต่ต่อมาเมื่อเห็นเพชรพลอยบางส่วนตกเกลื่อนอยู่จึงเข้าใจ ทำให้ผู้ที่รอดตายถูกแทงซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยดาบปลายปืนอย่างทารุณโหดร้าย
[สภาพของทุกร่าง หลังจากการสังหารหมู่โรมานอฟ]
กว่าจะสิ้นเสียงเซ็งแซ่ครวญครางในห้องมรณะนั้น ใช้เวลานานกว่า 20 นาที ความโกลาหลวุ่นวายแห่งหารฆ่าฟันจบลง ทว่าในกลุ่มควันปืนที่อบอวลอยู่นั้น ได้มีเหตุประหลาดเกิดขึ้น คือพระปฤษฎางค์(หลัง) ของเจ้าฟ้าหญิงพระองค์หนึ่งขยับขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเสียงครางหงิงของสัตว์ที่น่าเวทนาดังลอดออกมา เจ้าจิมมี่น้อยซึ่งเจ้าฟ้าหญิงได้ทรงปกป้องมันเอาไว้ด้วยชีวิตของพระองค์เองรอดตายมาได้อย่างอัศจรรย์ แต่ขาหลังของมันถูกยิงจึงเดินออกมาไม่ได้ แต่แล้วมันก็ถูกทหารยามที่อยู่ตรงนั้น ยกบู๊ทขึ้นกระทืบหัวอย่างแรงจนเงียบไป
เหตุการณ์นี้ช่างน่าหดหู่ใจ แม้คนที่ใจแข็งที่สุดถ้าได้เห็นสภาพดังกล่าวเข้าก็ต้องหลั่งน้ำตา ความเลวของพวกคอมมิวนิสต์นั้นไม่จำเป็นต้องสาธยายแล้ว เพราะแม้วินาทีสุดท้ายพวกมันก็ยังฆ่าได้แม้กระทั่งสัตว์เล็ก ๆ ที่ไม่มีทางสู้
[สภาพห้องมรณะในคฤหาสน์อิปาเตียฟ ต่อมาถูกบอริส เยลท์ซิน สั่งรื้อทั้งหลัง ด้วยไม่ปรารถนาให้เป็นที่สักการะของผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อเจ้า]
ใครเล่าจะรู้ว่าวันหนึ่ง นายทหารผู้หนึ่งที่มีส่วนในความตายของครอบครัวโรมานอฟที่บริสุทธิ์นี้ จะได้มายืนเล่ารายละเอียดเหล่านี้ให้โลกได้รับทราบ เพื่อให้อย่างน้อยความรู้สึกผิดบาปที่รบกวนใจมาตลอดชีวิตจะได้เบาบางลงบ้าง เพราะตัวเขานั่นเองคือผู้ที่นำจดหมายลวงนั้นมาถวาย ตามคำสั่งของพวกปฏิวัติที่ต้องการจะล้างชีวิตเจ้านาย เขาเองคือหนุ่มน้อยที่พระเจ้าซาร์และทุกพระองค์ทรงทอดพระเนตรอย่างรักใครเอ็นดู และเรียกเขาว่า “มาลาเดียต (เด็กดี)” และเขาเองคือผู้ที่ได้รับความไว้วางพระทัยที่สุดในยามยาก ถึงขนาดให้ถือสาส์นอันเป็นความเป็นความตายของครอบครัวพระองค์ นำไปส่งให้บุคคลลม ๆ แล้ง ๆ ที่ทรงถูกหลอกให้เชื่อโดยพวกเร้ดการ์ด และเขาคนนั้นก็คือ “ข้าพเจ้าเอง”
ในฐานะข้ารองพระบาทที่ชั่วช้าที่สุดนั้น ข้าพเจ้ากำลังเสวยผลกรรมหนักจากความทรยศนั้นอยู่ตลอดเวลา ความทรมานใจที่ไม่อาจลบออกได้นี้ว่าเป็นสิ่งเลวร้ายแล้ว แต่สิ่งที่พระเจ้ากำลังลงโทษข้าพเจ้าอยู่ ที่ร้ายกาจที่สุดคือ การที่ให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนนานพอที่จะต้องจมอยู่กับประสบการณ์ที่กรีดหัวใจนั้น
ข้าพเจ้ารู้ดีว่า แม้ความตายก็ไม่อาจล้างความบาปมหันต์นี้ได้ แต่ก็หวังว่าคำสารภาพนี้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้ช่วยผดุงพระเกียรติแห่งครอบครัวศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ ขอท่านทั้งหลายจงได้โปรดรับรู้ถึงความจริงนี้ด้วย และขอดวงพระวิญญาณแห่งทุกพระองค์ ซึ่งบัดนี้ได้เสวยสวรรค์เป็นนักบุณแล้ว ได้โปรดประทานอภัยให้ข้าผู้เลวทรามด้วยเถิด
อาห์-มิน…อาเมน
จากข้ารองพระบาท ผู้เสวยผลกรรมยิ่งกว่าความตาย…
[ยูรอฟสกี้ได้ย้ายพระศพทั้งหมดมาฝังไว้ลวก ๆ ในหล่มโคลนข้างถนน แล้วใช้กรดกำมะถันโรยลงไปเพื่อให้ศพเปื่อยยุ่ย แล้วใช้ไม้หมอนรถไฟมาทับไว้]
ข้อมูลจาก : นพ.กฤษดา ศิรามพุช
———————————————————————————–
หมายเหตุ : มีผู้สงสัยว่า เจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซียอาจไม่ได้สิ้นพระชนม์ในคืนวันสังหารจริง และพระองค์อาจยังมีชีวิตอยู่จนถึงวัยชรา และอาจเป็นคนเดียวกับ แอนนา แอนเดอร์สัน (ที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ 16 ธันวาคม 1896 – 12 กุมภาพันธ์ 1984) เพราะมีช่วงอายุ และรูปลักษณ์ต่าง ๆ ใกล้เคียงกันมาก แต่ภายหลังมีการพิสูจน์แล้วว่า DNA ของ แอนนา แอนเดอร์สัน ไม่ใกล้เคียงพอที่จะเป็นหนึ่งในราชวงศ์โรมานอฟได้ นั่นคือ แอนนา และ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันนั่นเอง
[รูปถ่ายเปรียบเทียบ แอนนา แอนเดอร์สัน กับ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย]
ราชวงศ์โรมานอฟ (The Romanov Dynasty)
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~