ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา
แหมต้องยอมรับในความตั้งใจอย่างแรงกล้าของคนที่พูดอย่างนี้เสียจริงๆ แต่ก็นั้นแหละ
มันมักจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายเสียส่วนใหญ่ สำหรับสำนวนนี้ที่ถูกนำไปใช้ แต่อย่างไร
เสียนอกเหนือจากความหมายที่ส่อไปในทางลบแล้ว สำนวนนี้ยังกล่าวถึงความเชื่อส่วน
หนึ่งของสังคมด้วยนั้นก็คือ ไสยศาสตร์ คาถาอาคมที่สามารถดลบันดาลความสำเร็จได้
เจ้าตำรับตำราที่เราเคยดูหนังกันมานั้นคงหนีไม่พ้นเขมรที่ เข้มขลัง แต่วันนี้อยากเสนอ
อีกมุมหนึ่งของ โลกมืดที่เรียกว่าไสยศาสตร์
นอกจากเขมรแล้วที่มีทีเด็ดเรื่องไสยศาสตร์ คนแขกในภาคใต้ (ในที่นี้ยังคลุมเครือว่าจะ
เป็น แขกอินเดีย แขกอาหรับ หรือ แขกมลายู แต่ถ้าพิจารณาเนื้อหา คำท่องคาถาแล้วน่า
จะเป็นแขกมลายู) เขามีไสยเวทย์ที่เข้มขลังและหวั่นเกรงของคนในภาคใต้ยิ่งนัก
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อเรื่องแบบนี้และนำมาใช้ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเพื่อค้าขาย
กลั่นแกล้งคนอื่นให้ตายตกตามกันไป ในสังคมบ้านป่า บ้านชนบทเราจะสามารถพบเห็น
เรื่องของการทำของแขก ใส่คนนั้นคนนี้ ให้บังเกิดอาการบ้าคลั่ง เกิดโรคภัยเป็นที่น่า
สมเพช ไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอมักจะตรวจอาการไม่เจอสิ่งผิดปกติใดๆ
(สำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสก็อย่าเพิ่งสรุปว่าไม่มีจริง ตามหลักวิทยาศาสตร์) แล้วท้ายสุด
ชะตาชีวิตของคนที่ถูกทำของใส่มักจะเจอจุดจบคือความตายและเกิดหายนะทั้งครอบครัว
ทำไมของแขก (ไสยศาสตร์ของคนมาลายู ที่สืบทอดต่อๆกันมา) จึงมีความน่าหวาดเกรง
กว่าของไทย และอยู่เหนือพุทธคาถาใดๆที่จะแก้ไขได้ อันนี้ยังไม่มีคำตอบใดแน่ชัด แต่
เท่าที่ฟังมา มีคนอ้างว่าเพราะฐานความเชื่อและกลเกมของภาษาที่ท่องบ่นต่างกัน เมื่อ
กล่าวถึงภาษา หลายๆคนคิดว่าอาจไม่สำคัญ ขอทำความเข้าใจว่าตัวอักขระภาษานั้น
แหละครับตัวดีเลย ภาษาเขมรนั้นเชื่อกันว่าถ้าเขียนแล้วถ้าลบไม่ได้ก็ต้องเผาทิ้ง ห้ามข้าม
หรือลบหลู่ใดๆ ไม่งั้นจัญไรจะเกิดกับตัว อ่ะตัวอย่างอาจไกลไปเรื่องอำนาจของภาษา เอา
ง่ายๆ ภาษาไทยนี่แหละ เช่นคำว่า บ้านนี้หมาดุ เมื่อเจอภาษาที่เขียนติดไว้เท่านี้ ก็เล่น
เอาหลายๆคนหวั่นๆเลย (นี่เป็นตัวอย่างพื้นๆที่สุด แต่อยากรู้เชิงลึกต้องไปอ่านเรื่อง
วาทกรรมของนักคิดชื่อ มิเชล ฟูโกต์)
เข้าเรื่องของไสยศาตร์ต่อดีกว่า ของแขก (ไสยศาสตร์ของแขกมลายู) อย่างหนึ่งเป็นที่
ล่ำลือแถบ สตูล ตรัง กระบี่ ว่ามีอานุภาพรุนแรงและชะงัดนัก นั้นคือ
เสน่ห์น้ำตาปลาดุหยง ปลาดุหยง ก็คือปลาพะยูนนั้งเอง
เมื่อก่อนแถบนั้นปลาพะยูนเยอะแยะ คนในแถบทะเลส่วนใหญ่จะเป็นคนแขก และเขาก็
เรียนรู้วิธีการของตำรับตำราโบราณที่ทำเสน่ห์ใส่คนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งคนรัก โดยจะจับ
ปลาพะยูน ขึ้นมาแล้วใช้ แส้ ฟาด ๆ ๆ ๆจน ปลาพะยูนร้องไห้ แล้วก็จะเก็บน้ำตาของปลา
พะยูนไป เข้าพิธีปลุกเสกถ้าจำไม่ผิดต้องเฆี่ยนตีปลาพะยูนเอาน้ำตาในวันพระจันทร์เต็ม
ดวง เชื่อกันว่าคนที่ถูกป้ายด้วยน้ำตาปลาดุหยงนั้น จะตกหลุมรักคนที่ป้ายทันที หากได้
เจอเข้าจะวิ่งเข้าหา ยอมเป็นทาสรักตลอดชีวิต แต่หากไม่ได้เจอจะไม่ยอมกินไม่ยอมนอน
จะร้องไห้โหยหา อยุ่ไม่ได้ เหมือนมีไฟ มาลนอก ให้ทุรนทุรายและตายในที่สุด เพราะ
เสน่ห์น้ำตาปลาดุหยงนั้น ไม่มีของใดๆแก้ได้เลย
จะอย่างไรเสียถ้าได้คนรักมาด้วยวิธีนี้มันก็เหมือนกับได้ดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นหอม แล้ว ความ
สุขความสดชื่นมันอยุ่ที่ไหน อีกอย่างก็เป็นการทรมานคนรัก ทรมานสัตว์ (ปลาพะยูน) มี
แต่ปลาเต็มๆ ควรปล่อยให้รักมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน น่าจะงดงามและดูดีกว่า
ขอขอบคุณเนื้อหาโดยลูกชายนายอำเภอ